บทความที่ได้รับความนิยม (Top 10)

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แรงปรารถนาของ "พ่อ"

               7 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ณ วัดแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ปฏิบัติธรรมเป็นชีเนกขัมมะถือศีล 8 อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยความปรารถนาที่จะให้พ่อของเธอนั้น หายป่วยจากโรคพิษสุราเรื้อรัง โรคตับแข็ง โรคถุงลมโป่งพอง และอีกหลายโรคที่ตามมาจากการติดสุรา ด้วยอาการเรื้อรังที่ยากจะเยียวยารักษา เธอรู้ว่าไม่มีหนทางใดที่จะรักษาพ่อของเธอได้ เธอจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้อาการของพ่อเธอนั้นบรรเทาลง แต่ทว่าบางคำอธิษฐานก็ไม่สามารถหยุดยั้งความตายได้ ใช่..พ่อเธอได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในวันนั้น วันที่เธอมีความหวังว่าพ่อเธอจะไม่จากเธอไป ภาพเบื้องหน้าที่เธอได้เห็น คือภาพพ่อเธอที่นอนอยู่ในโลงศพ ใบหน้าพ่อที่หลับสนิทและซีดเซียวดั่งร่างที่ไร้วิญญาณ เธอยังคงจดจำภาพนั้นได้ติดตา ภาพที่ฝาโลงกำลังจะปิดลงนั้น มันได้ทิ่มแทงใจคนเป็นลูก เธอร้องไห้และพูดออกไปด้วยความที่เสียใจว่า "อย่าปิดฝาเลย เดี๋ยวพ่อหนูหายใจไม่ออก" แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อเธอนั้นได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว แต่ใครเลยจะทำใจรับได้ เมื่อพ่อทั้งคนต้องจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ภาพที่โลงศพพ่อได้ถูกนำเข้าไปเผาที่เมรุ ควันที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ เธอเห็นใบหน้าพ่อที่อยู่บนฟ้าส่งยิ้มให้ วิญญาณของพ่อได้ลอยไปสู่สวรรค์แล้ว เธอยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับนึกย้อนไปในวันที่เธอได้เห็นหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย วันที่เธอได้ไหว้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย วันที่เธอได้เห็นแววตาเศร้าๆของพ่อในวันสุดท้าย วันนั้นเป็นวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557 "วันพ่อ"

               หนึ่งปีต่อมา ในคืนๆหนึ่ง เธอได้นอนหลับฝันถึงพ่อ เธอฝันว่า..พ่อมาหาเธอ ยิ้มให้เธอ และให้เงินเธอ แล้วภาพพ่อเธอนั้นก็ค่อยๆเลือนลางจางหายไป แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับนึกย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ภาพที่ก่อนพ่อเธอจะเสีย พ่อเธอได้กำเงินทั้งหมดที่พ่อเธอมีเอาไว้ในมือ ด้วยความปรารถนาที่จะเอาเงินก้อนสุดท้ายนั้นไปให้เธอ ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ได้เลี้ยงดูเธอ แต่ความปรารถนานั้น ส่งไปไม่ถึงเธอ เพราะพ่อของเธอได้หมดลมหายใจไปเสียก่อน แต่ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าในจิตวิญญาณของพ่อ พ่อของเธอได้นำเงินมาให้เธอในฝัน เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของพ่อ แม้พ่อจะจากเธอไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี แม้วันพ่อปีนี้หรือปีต่อๆไป เธอจะไม่มีโอกาสนำพวงมาลัยไปกราบไหว้พ่ออีก แต่พ่อของเธอก็ยังอยู่ในดวงใจไปอีกนานแสนนาน...

               "หลับให้สบายนะพ่อ หมดห่วงแล้วนะ" :)

ทิ้งทวนชวนกราบไหว้พ่อ: ใครที่ยังมีพ่อให้กราบไหว้ จงกราบไหว้และโอบกอดท่านด้วยความรัก ใครที่ไม่มีพ่อ จงรำลึกถึงความรักที่พ่อมีให้เรา ให้พ่อสถิตย์อยู่ในดวงใจไปตราบนานเท่านาน...

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รีวิวหนังสือเรื่อง "ไม่มีความเจ็บปวดใด..ไม่ให้บทเรียน (Be The Miracle, 50 Lessons for Making the Impossible Possible)"



               อ่านจบไปอีกเล่มกับหนังสือแนวจิตวิทยาพัฒนาตนเองเรื่อง "ไม่มีความเจ็บปวดใด..ไม่ให้บทเรียน (Be The Miracle, 50 Lessons for Making the Impossible Possible)" เขียนโดย "เรจีนา เบรตต์" นักข่าวหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และแปลโดย "อังคณา ทองพูล"

               เรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของตัวเธอเอง ที่ฝ่าลมฝ่าฝน ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว เพื่อน สุขภาพ รวมไปถึงชีวิตคนรอบข้าง โดยเธอมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นพระเจ้า เธอเฝ้าสวดอ้อนวอนอธิษฐานให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับเธอและคนรอบข้าง เธอได้สู้ชีวิตกับโรคมะเร็งที่อยู่ในร่างกายเธอดั่งผู้ชนะมัน เรื่องนี้มีทั้งหมด 50 บทเรียน แต่ละบทเรียนก็ต่างเรื่องราวที่เรียบเรียงเป็นตอนๆ ไม่ต่อเนื่องกัน อ่านรอบเดียวคงจะเข้าใจยากหน่อย เพราะเนื้อหาลึกซึ้ง เน้นไปทางพระเจ้า คนนับถือคริสต์น่าจะเข้าใจได้ง่าย แต่ทุกบทได้ให้ข้อคิดในการใช้ชีวิต และมุมมองในการมองโลกให้เป็นสีเทา มีเศร้าก็ต้องมีสุข มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง เป็นดั่งใจก็ต้องมีไม่สมดั่งใจ ทุกอย่างมีสองด้าน อยู่ที่เราจะผ่านอุปสรรคนี้ด้วยมุมมองใด ใครกำลังทุกข์ หนังสือเล่มนี้จะเหมือนครูสอนชีวิต บรรเทาจิตใจที่หม่นหมอง ไม่ให้หมองมัว อ่านแล้วจะแปรเปลี่ยน "ความเจ็บปวด" ให้เป็น "บทเรียน" #รีวิวหนังสือ #อ่านหนังสือกันเถอะ #หนังสือคือเพือนคู่คิดมิตรคู่จิตใจ ^__^

ทิ้งทวนชวนอ่าน: เนื่องจากเจ้าของบล็อกเป็นโรค "เสพติดบทความ" เปิดเน็ตทีไรต้องหาบทความอ่านตลอด และเป็นโรค "เสพติด(การอ่าน)หนังสือ" เดินไปไหนมาไหนต้องถือหนังสือติดมือตลอด ไม่งั้นรู้สึกเหมือนขาดๆอะไรไปในชีวิต (เวอร์มากแต่เรื่องจริง) จะมีคนเป็นแบบเรามั้ยแว๊? - -*

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เสพติดความสิ้นหวัง..หลังเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำๆ

เพลง..เสพติดความเจ็บปวด (The Yers)
               
                   วันนี้เพิ่งเข้าใจความรู้สึก "สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ไร้พลังจะทำสิ่งใด" ก็ต่อเมื่อเจอความผิดหวังซ้ำแล้ว ความล้มเหลวซ้ำเล่า คำพูดจากคนรอบข้างที่เอาแต่ทิ่มแทงหัวใจ จนต้องนั่งจับเจ่าให้ความโดดเดี่ยวค่อยๆกัดกินหัวใจ ความรู้สึกอ้างว้างไม่เหลือใครได้ถาโถม ความพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมชีวิตได้คอยตอกย้ำ ทำให้จิตใจเข้าใกล้คำว่า "ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป" แต่ก็ไม่ถึงกับอยากตายหายไปจากโลกใบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่อัดแน่นภายในจิตใจ ที่บ่มเพาะเมล็ดแห่งความเจ็บปวดไว้ในจิตใต้สำนึกมาเนิ่นนาน เก็บและฝังมันไว้ รดน้ำมันด้วยการเผชิญสถานการณ์และคำพูดที่ทิ่มแทงจากคนรอบข้าง มันกระทบกระเทือนจิตใจจนเหนือการควบคุม เป็นความรู้สึกที่ยากจะหาคำไหนมาอธิบาย ยากที่จะสาธยายให้ใครได้เข้าใจ ใช่..ไม่มีใครเข้าใจ เพราะไม่มีใครคิดจะนึกถึงความรู้สึกของคนๆนี้ คนที่ไร้ค่าในสายตาทุกคน คนที่มีบาดแผลเหวอะในใจ ไร้หนทางเยียวยาและรักษาให้หายไป...


               เด็กวัยรุ่นคนนึง..ต้องมาคอยเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่โหดร้ายทารุณจิตใจ ต้องมาคอยแบกรับบางอย่างไว้ โดยที่มันเกินกำลังของตน เด็กวัยรุ่นคนนึง..ที่ชีวิตช่วงนั้นของเขาได้ขาดหายไป ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ใครๆ ต้องดูแลคนในบ้าน ต้องใช้ชีวิตและมีความคิดที่โตเกินวัย ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จากการที่พูดอะไรไปแล้วไม่มีใครรับฟัง ไม่มีใครนึกถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้ ทำให้เด็กคนนี้ต้องทนอยู่กับความเหงาและความโดดเดี่ยวมานานหลายปี กับปัญหาบางอย่างที่มันหนักหนาสำหรับวัยนั้น ถ้าเด็กคนนี้ไม่มีความอดทน คงไม่ผ่านพ้นจนเรียนจบมาถึงทุกวันนี้ คงกลายเป็นเด็กใจแตกคนนึง ไม่ก็ฆ่าตัวตายเพื่อไม่ต้องเป็นภาระใคร จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับมา แต่เขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องเจ็บปวดกับความทรงจำร้ายๆ แม้จะต้องคอยโดนความโดดเดี่ยวกัดกินหัวใจก็ตาม แต่ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหน ก็ต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง...


               ช่วงเวลาที่คนในครอบครัว คนที่เรารัก ต้องมาล้มหายตายจากไปอย่างกระทันหัน ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราต้องเข้มแข็ง เพื่อมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ไม่มีเวลาให้มานั่งร้องไห้เสียใจ อาลัยอาวรณ์กับคนที่จากไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า..ความเข้มแข็งที่สร้างขึ้นมาอย่างหลอกๆตัวเองนั้น วันนี้มันกลายเป็นความอ่อนแอแพ้ภัยตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ถึงเวลาที่ความเสียใจนั้น มันจะจู่โจมทำร้ายจิตใจ ให้เราต้องคิดถึงคนที่จากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา มีแต่ความทรงจำที่ยังอยู่ในใจให้เราได้คิดถึง...


               หัวใจคนๆนึงที่ได้ปิดตายมาแล้ว 3 ปี เพราะความรักทุกรูปแบบที่เราได้เจอ ได้ลงเอยจบด้วยการจากลาทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ได้ฝากรอยแผลและความเจ็บปวดเอาไว้อยู่ในความทรงจำ ทำให้เราไม่กล้าเผชิญหน้ากับความรักและการผูกมัด แต่วันหนึ่ง..ได้มีคนๆหนึ่งเข้ามาในชีวิตเรา คนที่เป็นเหมือนเพื่อน เป็นกำลังใจ เป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ เป็นใครที่อยู่เคียงข้างเรา ทำให้เราหนีไม่พ้นความรู้สึกดีๆที่เกือบจะเรียกว่า "ความรัก" แต่แล้วเราต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อคนๆนั้นคิดกับเราแค่ "เพื่อนคนหนึ่ง" เพราะเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว หนำซ้ำเขายังเอาเรื่องคนที่เขาชอบ มาปรึกษาปัญหาหัวใจกับเรา ด้วยความที่เราเป็น "นักปลอบใจ" เพราะการปลอบใจคนคือความสุขของเรา ทำให้เราต้องรับฟังและปลอบใจเขาไป ทำหน้าที่นี้ดีไม่น้อยไปกว่าดีเจพี่อ้อยพี่ฉอดแห่งคลับฟรายเดย์ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า..เราเองกำลังเจ็บเพราะเขาอยู่เหมือนกัน อีกครั้งกับการที่ไม่มีใครนึกถึงความรู้สึกของเรา...

               ชีวิตที่ต้องพบเจอกับความผิดหวัง ทั้งเรื่องครอบครัว การงาน การเงิน ความรัก ทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน มันทำให้หัวใจคนๆนึงนั้น ได้เกือบพังทลายลงไป จมปลักอยู่กับความเศร้า แต่เราก็ยังจะดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วหวังว่าสักวันหนึ่ง..มันต้องดีกว่านี้ ความโชคดี..จะต้องเป็นของเราบ้าง จะมีชีวิตอยู่..เพื่อรอวันนั้น วันที่ฟ้าหลังฝนจะสดใส :)

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สถานะ "เพื่อนรู้ใจ" เป็นอะไรที่มากกว่า "แฟน"

เพลง..เพื่อนที่เธอ (ไม่) รู้ใจ (แก้ว feat. โทโมะ)

          คำพูดที่ใช้กับ "แฟน" : ที่รัก..เค้าคิดถึงเธอจัง เค้าอยากอยู่ใกล้ๆเธอตลอดเวลาเลยนะ อย่าไปอยู่ใกล้ใคร อย่าไปคุยกับใครละ เค้าหวงนะ เค้ารักเธอคนเดียว ><
          คำพูดที่ใช้กับ "เพื่อนสนิท/เพื่อนรู้ใจ" : เห้ยแก..คิดถึงว่ะแม่ง เออ..มีไรก็เล่าให้ฟังได้นะเว่ย ถึงแกจะขี้บ่น ขี้โวยวาย ขี้วีนเหวี่ยง แต่เหวี่ยงใส่เราคนเดียวละกัน สงสารคนอื่นเขา กลัวเขาจะหาว่าแก..บ้า! 5555 รักแกนะเว่ย ^^

          สถานะ "แฟน" กับ "เพื่อนรู้ใจ" เป็นอะไรที่มีเส้นบางๆกั้นอยู่ ดูเผินๆ อาจจะคล้ายๆกัน แต่มันให้ความรู้สึกที่ต่างกัน เพราะสถานะ "แฟน" นั้น เราได้จำกัดและตีกรอบเอาไว้ ผูกมัดยึดติดเขาให้อยู่กับเราเพียงคนเดียว แต่สถานะ "เพื่อนรู้ใจ" เป็นอะไรที่ไม่ได้ผูกมัดยึดติดเขา เราไม่ได้ตีกรอบให้กันและกัน มันจึงเกิดความสบายใจมากกว่าความอึดอัด สามารถเปิดเผยตัวตนเราได้ทุกมุมทุกด้าน โดยไม่ต้องเกรงใจอีกฝ่าย ต่างคนต่างรับได้กับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น และมันจะเป็นสถานะที่อยู่ได้นานกว่า เราอยู่กันด้วย "ความผูกพัน" เพียงแต่เราต้องไม่ล้ำเส้นคำว่า "รัก" ของกันและกัน เราต้องไม่มีคำว่า "หลง" จะมีแต่คำว่า "รัก" และ "ความเข้าใจ"

          เชื่อมั้ยว่า.."เพื่อนรู้ใจ" หายากกว่าความสัมพันธ์ที่เรียกว่า "แฟน" อีกนะ เพราะต้องเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง คบกันที่จิตใจภายใน ไม่ใช่ภายนอก แต่ถ้าเจอแล้ว คนๆนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน..

          มี "เพื่อนรู้ใจ" ซึ่งเป็นใครที่ใจเรารู้ว่าเขานั้น "สำคัญ" เพราะเป็นคนที่เราไว้ใจ กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนทุกมุมด้าน ไม่ว่าจะด้านมืดหรือด้านสว่าง เป็นใครที่เราสบายใจที่จะระบายความอัดอั้นตันใจ แม้ไม่ได้คุยกันตลอดทุกวัน แม้จะอยู่ไกลกัน แต่มันสัมผัสได้ด้วยใจว่า..เราอยู่ใกล้กัน เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดยึดติด เขาจะชอบใครก็ชอบไป เราจะชอบใครก็ชอบได้ แค่เราเข้าใจกันและอยู่เคียงข้างกันก็พอ บางทีมันอาจจะดีกว่าการมี "แฟน" ที่มีเอาไว้สวีทหวานฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งก็เป็นได้ ^^

          เจอแล้ว "เพื่อนรู้ใจ" ที่เวลาของการรู้จักกัน ไม่ใช่ตัววัด อาจรู้จักกันเพียงไม่นานก็เข้าใจกันได้ จะรักษาคนๆนี้ไว้ให้ดีที่สุด :)

          ทิ้งทวนชวนรู้ใจ: ตามหลักจิตวิทยาแล้ว การที่คนเราจะถูกใจกัน เข้าใจกัน มีความสัมพันธ์ดีๆเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เพราะเกิดจากการผ่านประสบการณ์ที่คล้ายๆกัน หรือมีความสนใจในเรื่องเดียวกัน บางความสัมพันธ์ที่อัศจรรย์ อาจเกิดจากแค่เพียง "สบตา" (เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ..จริงๆนะ) หรืออาจเป็นความรู้สึก "First Impression (ความประทับใจแรกพบ)" ก็เป็นได้ ทุกคนล้วนมีกำแพงในใจ อยู่ที่ว่าใครจะสร้างไว้สูง หนา แข็งแรง (หรือที่เรียกว่า..โลกส่วนตัวสูง) การทำให้คนๆนึงกล้าที่จะเปิดใจ ให้เราได้เข้าไปสัมผัสความรู้สึกลึกๆข้างใน เป็นอะไรที่ยาก หากคบกันเพียงแค่ภายนอก แต่จะเป็นการดีมาก หากเรารู้ว่าเขาคิดอะไร รู้สึกยังไง ต้องการแบบไหน แล้วเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการแบบพอดีๆ พยายามเข้าถึงจิตใจเขา "ความเอาใจใส่" นั้นเป็นสิ่งสำคัญและทำให้เราได้ใจเขามา เมื่อเราได้ใจเขาแล้ว อย่าลืมให้ใจเรากลับไปละ คนสองคน ต้องไม่มีการเอาเปรียบ ไม่มีใครได้เพียงฝ่ายเดียวหรือรับเพียงฝ่ายเดียว จะต้องต่างคนต่างรับและให้ซึ่งกันและกัน อยู่กันอย่างสมดุล มันถึงจะไปกันได้ยาว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม :)


กีต้าร์ตัวใหม่ กับ หัวใจดวงเดิมที่รักเสียงดนตรี
ถ้าเราแต่งเพลงให้ใคร อยากให้รู้ไว้ว่า..คนๆนั้นเป็น "คนสำคัญ" :)



วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รีวิวการ์ตูนแอนนิเมชั่นเรื่อง "Little Prince (เจ้าชายน้อย)"


ตัวอย่างการ์ตูนแอนนิเมชั่นเรื่อง "Little Prince (เจ้าชายน้อย)"



การ์ตูนเรื่อง "Little Prince (เจ้าชายน้อย)" คือเป็นการ์ตูนที่อยากให้คุณลูก ชักชวนคุณพ่อคุณแม่มาดู มันสะท้อนชีวิตมนุษย์ในยุคโลกธุรกิจในปัจจุบัน และการใช้ชีวิตภายในครอบครัวที่ช่างห่างเหิน ระหว่าง..
แม่..ที่เป็น working woman ทำแต่งานๆๆๆ วางแผนชีวิตให้ลูกทุกย่างก้าว ปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตตัวคนเดียวเพียงลำพัง หวังให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ไม่ปล่อยให้ลูกมีเพื่อนเล่นตามประสาวัยเด็ก
ลูกสาว..ที่ชีวิตโดนตีกรอบจากแม่ ที่มีความคาดหวังในตัวลูกสาวมากเกินไป ทำให้ลูกเกือบลืมชีวิตวัยเด็ก แต่เพราะไปเจอกับคุณลุงข้างบ้าน นักกักตุนของเล่นเด็ก ผู้มีเรื่องราวที่อัศจรรย์ แต่งนิทานจากชีวิตจริง และยังไม่ลืมช่วงเวลาในวัยเด็ก เขาได้นำพาให้เด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวที่โดนตีกรอบคนนี้ ได้มีความสุขกับการเล่นแบบเด็กๆ และพบเจอกับเจ้าชายน้อย
เจ้าชายน้อย..เด็กน้อยผู้โดดเดี่ยว อาศัยอยู่ที่ดาวแห่งหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยความหวัง และความกล้าหาญที่จะออกไปเผชิญโลกภายนอก เพื่อค้นหา "คุณค่า" ของความเป็น "มนุษย์" มีดอกกุหลาบเป็นเพื่อนรัก เป็นความรักที่เขามี แต่แล้วเขาก็ได้ตัดสินใจลาจากกับดอกกุหลาบ เพื่อออกเดินทางสู่ดาวต่างๆ เจอผู้คนที่แตกต่างกัน ทั้งดีและไม่ดี ทำให้เขาได้เรียนรู้ จนวันที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ชีวิตมีแต่งานๆๆๆ และความล้มเหลวในชีวิต จากการเปลี่ยนงานหลายที่ ทำให้เขาลืมช่วงเวลาวัยเด็กที่แสนสุขไป..
เรื่องเจ้าชายน้อยเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนนิเมชั่น ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนวนิยายเรื่อง "Le Petit Prince" แต่งโดยนักเขียนชาวฝรั่งเศส "อ็องตวน เดอ แซ็กแตกซูว์เปรี" การ์ตูนเรื่องนี้มีสำนวนคมคาย ได้ข้อคิดเยอะมาก และสะท้อนอะไรหลายๆอย่างในความเป็นมนุษย์ เด็กดูแล้วสนุก เพราะภาพการ์ตูนน่ารัก การ์ตูนแอนนิเมชั่นจากกราฟฟิกแบบ 3D และแบบ Stop Motion ผู้ใหญ่ดูแล้ว ได้หันกลับมามองย้อนดูตัวเอง และเข้าใจความรู้สึกของลูกๆที่ตัวเองเลี้ยงดู เป็นการ์ตูนในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งไปแล้วแหละ..เจ้าชายน้อย (หอยสังข์) ^^
(แอบอินแบบร้องไห้ไปหลายฉากเลยแหละแก ><")


ทิ้งทวนชวนไปดู: การ์ตูนเรื่องนี้เข้าฉายในไทย วันที่ 22 ตุลาคม ไปดูการ์ตูนดีๆที่ได้อะไรมากกว่าความสนุกแน่นอน รับประกันโดย..ตะวัน ซันชายน์ ;)

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"ความรัก" ที่แวะผ่านเข้ามา กับ "คนรัก" ที่แว้บผ่านมาแล้วก็ผ่านออกไป"

เพลง..สิ่งของ (Klear)


ความรัก..ที่ "แวะผ่านเข้ามา" นับสิบกว่าครั้ง
คนรัก..ที่ "แว้บผ่านมาแล้วก็ผ่านออกไป" นับเกือบสิบคน
พอถึงจุดๆหนึ่ง มันทำให้เราได้เรียนรู้ และได้รับบทเรียนมากมาย
ท้ายที่สุด..ตอนนี้มันไม่ได้เจ็บปวด หรือยังอาลัยอาวรณ์กับความรักครั้งเก่าๆ
แต่มันเป็น "ความว่างเปล่าที่ไม่ (อยากจะ) คาดหวัง"
แต่ก็ยังรอว่า "ความรักดีๆ" ที่ "เหมาะสม"
โลกกลมๆใบนี้ จะยังพอมี "คนรักดีๆ" ที่ "เข้าใจเรา"
เขาจะ "หลงเข้ามา"แต่ "ไม่ผ่านออกไป" :)




กลั่นกรองจากส่วนลึกอีกมุมนึงข้างในใจของคนชื่อ "ตะวัน ซันชายน์" ^^

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รีวิวครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย (ครีมกันแดด, BB, DD)



                    เดี๋ยวนี้เรื่องความสวยและความงาม ไม่เข้าใครออกใครนะจ๊ะ เพราะสมัยนี้เพศไหนๆ จะหญิง ชาย เกย์ กระเทย ตุ๊ด ทอม ดี้ แอ๊บสาว แอ๊บแมน ใครๆก็หันมาโบ๊ะเติมเสริมแต่งด้วยเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ปกปิดริ้วรอยกันเป็นแถ๊ว และด้วยเทรน “จะขาวจะคล้ำ..ฉันขอทำให้ผิวเนียนวิ้งไว้ก่อน (ยิ่งขาวเนียนสวยเหมือนคนเกาหลีได้ยิ่งดี)” จึงเป็นจุดกำเนิดผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย หลากหลายนานาสายพันธุ์ ไล่กันตั้งแต่ตัวอักษร A-Z (ตอนนี้ยังไม่ถึง Z แต่อนาคตก็ไม่แน่นะ 555) ไม่ว่าจะเป็น AA, BB, CC, DD (เอ๊ะ..ละม้ายคล้ายคลึงเกรดสมัยเรียนมหาลัยเลย ถ้าเป็น FF คงจะน่าสะพรึง! 555)
                
             ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ตัวเองเป็นเพศทอมสายพันธุ์หน้าหนา (เกือบจะด้านละ 555) ท้าแดด ท้าฝน ทนมือ ทนเท้า ง่ายๆคือเป็นเพศหญิงที่ไม่ค่อยดูแลบำรุงผิวตัวเอง ไม่ค่อยแต่งหน้าทาปาก ปกติทาแต่แป้งฝุ่น แต่เดี๋ยวนี้ทอมก็รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิงแล้วนะจ๊ะ วันไหนองค์ลงลุกขึ้นมาทารองพื้น ลงครีม BB นี่ถือว่าหรูหราและเป็นเกียรติแก่ใบหน้าฉันละ 555 จึงไม่ค่อยช่ำชองด้านความสวยความงามและเครื่องสำอางสักเท่าไหร่ แต่ก็มีใช้บ้างเวลาต้องออกงาน ไปทำงาน ไปพบเจอผู้คนเยอะๆ จะให้ออกไปแบบหน้าดำโทรมมันเยิ้มก็ไม่ใช่ ตั้งแต่ตัวเองเริ่มประกวดเวทีต่างๆ (ไม่ใช่เวทีนางสาวไทยนะจ๊ะ555) และทำงานในวงการ Extra ภาพยนตร์/ละคร/โฆษณา/รายการ/MV คือในกองมีแต่คนหน้าแน่นเป๊ะๆ กูรูด้านความงามมาเต็มจ้า จึงมีคนมาแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อันโน้นอันนี้ จึงลองไปซื้อใช้บ้างตามประสาคนอยากหน้าเป๊ะ (เพราะความจริงหน้าเละเกิ๊น555) แต่ยังคงคอนเซ็ปตัวเอง “จะเป๊ะ จะขาว ขอราคาเบาๆไว้ก่อน อิอิ”
               
             สำหรับการรีวิวครั้งนี้ จะขอแยกเป็น ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้า และ ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวกาย โดยการรีวิวครั้งนี้ คนเขียนลงทุนหาข้อมูลความรู้ส่วนประกอบที่สำคัญของครีมแต่ละชนิด แถมลงทุนถ่ายรูปหนังหน้าตัวเองแบบ Before & After กันเลยทีเดียว ใครอ่านบล็อกนี้ ได้ทั้งความรู้ ที่คนเขียนพอจะนำเสนอให้ได้ และยังได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรูปหนังหน้าตัวเองอีกด้วย เราไปดูผลิตภัณฑ์ครีมแต่ละตัวกันเลยดีกว่า ไป๊! Let's go!!

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีอยู่ในสต็อกมี 3 แบบ ได้แก่


1. K.A. UV Whitening Protection Cream SPF 50 PA+++
  Ø ประเภท: Skincare (Max-UVA Protection)  ผสานพลังการทำงานแบบดูดซับรังสี UV ไม่ให้เข้าทำร้ายผิว และช่วยสะท้อนหักเหแสง ไม่ให้กระทบเข้าสู่ผิว เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ด้วย SPF 50
  Ø ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: ตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่เป็นรองพื้นไปในตัว เพราะมีสีเนื้อแบบ pastel  เนื้อครีมจะไม่เหนียวเหนอะหนะมาก ค่อนไปทางเหลวนิดๆคล้ายโลชั่นกันแดด แต่เวลาทาแล้วจะทำให้หน้าดูมันๆ ต้องตบแป้งทับลงไปจึงจะดูโอเค หากหน้าเรามีเหงื่อไหล ตัวนี้อาจจะทำให้ดูเยิ้มได้ และล้างออกง่าย เพราะมันไม่ได้กันน้ำ ส่วนกลิ่นจะฉุนแอลกอฮอล์แรงพอสมควร
  Ø ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü SPF 50 ปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB
ü PA+++ ป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย ที่เกิดจากแสงแดด 
ü Silicone resin: เพิ่มความเรียบเนียน กระจ่างใส ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง ชุ่มชื่น มีชีวิตชีวา
ü Vitamin B3: ปรับสภาพสีผิวให้ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ü สูตร Oil free: เนื้อครีมซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว
  Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: ตัวนี้จะมีประสิทธิภาพในเรื่องกันแดด (ชื่อก็บอกแล้วว่ากันแดดอะเนอะ) มันกันแดดได้ดีจริงๆ ดังนั้นตัวนี้จึงไม่สามารถปกปิดรอยสิว ริ้วรอย หรือจุดด่างดำได้ดีมากนัก และขอเตือนว่า อย่าทาบริเวณใกล้ดวงตามากนัก เพราะตัวนี้มันแสบมาก เคยโดนมาแล้ว เนื่องจากเหงื่อไหล แล้วมันไหลเฉียดๆตา แสบตาแบบน้ำตาไหลเลยจ้ะ แง้!
  Ø หาซื้อได้ที่: ร้านค้าที่ขายเครื่องสำอางทั่วไป
  Ø ให้คะแนน: 5/10 (หักคะแนนตรงที่ไม่ปกปิดรอยสิวและจุดด่างดำ ไม่กันน้ำ เยิ้มง่าย กลิ่นฉุน และเนื้อครีมทำให้แสบตา)


2. Mistine BB Wonder Cream SPF 30
  Ø ประเภท: BB Cream (Blemish Balm Cream) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมเจ้า 3 สิ่งนี้คือ เบส + รองพื้น + ครีมกันแดด จึงเน้นไปที่การปกปิดริ้วรอยต่างๆ ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
  Ø ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: เนื้อครีมมีสีเข้ม เนื้อสัมผัสครีมจะข้นนิดๆ แต่เกลี่ยง่าย ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมแบบไม่ฉุนมากนัก
  Ø  ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü  เนื้อครีมโปร่งแสงใช้ได้กับทุกสีผิว
ü หน้าเนียนเด้ง กระจ่างใสอย่างเป็นรรมชาติ
ü บำรุงผิวขณะที่ทา ให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งสุขภาพดี
ü กันแดดได้ถึง 30 เท่า 
  Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: BB ครีมตัวนี้ ชอบตรงที่มันปกปิดรอยสิวและจุดด่างดำได้ดี ทาเสร็จแล้วจะให้โทนผิวหน้าสีอมชมพู แต่อย่าทาเยอะและทางที่ดีควรทาคอด้วย ไม่งั้นวอกแบบหน้าลอยแต่คอดำอย่างเห็นได้ชัด และอาจโดนคนล้อได้นะ เพราะเคยโดนมาแล้ว555 เพราะเคยได้ยินว่า BB ครีมตัวนี้มีฉายาว่า “ครีมหน้าเนียน” เคยลองของกับเจ้าตัวนี้ด้วยการทาเพียงครึ่งหน้า แล้วลองเปรียบเทียบ อื้อหือ! เหมือนหน้าโดนแบ่งเขตดินแดงกับเขตหิมะเลย แตกต่างอย่างชัดเจนจ้า555
  Ø หาซื้อได้ที่: ร้านค้าที่ขายเครื่องสำอางทั่วไป หรือกริ๊งกร๊างหาสาวมิสทีน..มาแล้วค่ะ
  Ø ให้คะแนน: 7/10 (หักคะแนนตรงที่ครีมมันทาแล้วดูวอกเกินจริง ไม่เหมาะกับคนผิวสองสี ไม่กันน้ำ และขนาดหลอดเล็กเกินไป ถ้าเทียบกับราคา)


   3. Frozen Me Frosty DD Cream SPF 50 PA+++
  Ø ประเภท: DD Cream มีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น Dynamic Do-all / Daily Defense Cream / Dermatologically Defining BB Cream เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเจ้า 4 สิ่งนี้คือ รองพื้น + เบส + ครีมกันแดด +สารบำรุง(เพิ่มจากตัว BB) โดยจะเน้นในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอย ชะลอความแก่
Anti-Aging รวมไปถึงให้ความชุ่มชื้น และ Whitening เข้าไปด้วย เป็นผลิตภัณฑ์แบบ 4 in 1 ถือว่าตัวเดียวมีครบจบหลักสูตร (ยิงปืนนัดเดียว ได้นกตั้ง 4 ตัวแน่ะ)
  Ø ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: ตัวนี้เป็น DD Cream สูตรเยือกแข็ง เนื้อครีมมีสีอ่อน เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เป็นคราบ ไม่มีกลิ่นฉุน เพราะปราศจากน้ำหอม
  Ø ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü กระดูกอ่อนปลาแซลมอน: มีประสิทธิภาพทำหน้าที่เสมือน EGF (Epidermal Growth Factor ) ช่วยเพิ่มการสร้างและกักเก็บ Hyaluronic acid และ Collagen ให้กับผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึง ลดริ้วรอยได้ และยังช่วยให้ผิวหน้าขาวใสขึ้นได้ภายใน 4 สัปดาห์
ü เมือกหอยทาก: ช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้า ให้เรียบเนียนขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มการสร้าง Collagen และ Elastin ให้กับผิวหน้า และยังฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น กระชับ และลดรอยแผลเป็นให้เรียบเนียนขึ้นได้
ü Arbutin: ลดการสร้าง melanin ทำให้ผิวค่อยๆขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ü Allantoin: ลดอาการระคายเคือง และฟื้นฟูสภาพผิว
ü Argireline: ทำหน้าที่เสมือน botox ให้ผิวที่แลดูหยาบกร้าน กลับมาเรียบเนียน และรูขุมขนกระชับขึ้นได้
ü มีส่วนผสมที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น NMF (Major Natural Moisturing Factor) ที่สามารถพบได้ในผิวมนุษย์ เสมือนเป็นการเติมน้ำให้กับผิว
ü Cooling Agent: สารที่ให้สัมผัสที่เย็นขณะทา สามารถลดอุณหภูมิของผิวให้เย็นขึ้น รูขุมขนกระชับเรียบเนียนขึ้น สามารถลดการอักเสบของสิว และลดอาการระคายเคืองแสบจากการแผดเผาของแสงแดดได้เป็นอย่างดี
ü ประสิทธิภาพกันแดดสูงถึง SPF 50 PA+++
ü สาร Antioxidant และสารบำรุงต่างๆอัดแน่น เมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยบำรุงให้ผิวหน้าค่อยๆขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: ด้วยส่วนประกอบที่หลากหลาย และคุณสมบัติพิเศษนั้น DD Cream ตัวนี้สามารถใช้แทนได้ทั้งกันแดด ไพรเมอร์ รองพื้น และบำรุงผิว (4 in 1 ... ตัวเดียวครบ จบหลักสูตร พูดได้เลยว่าฉันสวยเนียนใส แบบไม่ต้องมีอะไรมากกกก5555) อีกทั้งยังช่วยคุมความมัน กันน้ำ กันเหงื่อได้ดีอีกด้วย (นี่ขนาดเดินตากฝน เม็ดฝนก็ไม่สามารถลบล้างครีมบนผิวข้าได้ วะฮะฮ่า!) แถมยังไม่ทำให้สีผิวดร็อประหว่างวัน (คือทาตั้งแต่เช้ายันเย็น ตั้งแต่ออกจากบ้านยันกลับบ้าน สีผิวอิชั้นก็ยังไม่เป็นแบบไอ้ด่างนะจ๊ะ) ที่สำคัญยังช่วยลดริ้วรอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย แถมเมื่อตอนล้างเครื่องสำอางออกแล้ว หน้ายังไม่โทรม สิวไม่เห่อ แต่สัมผัสได้ว่าผิวยังใสสดชื่นขึ้นด้วย ว้าววว! เลิศเลอเพอร์เฟ็กตรงนี้ โดย DD Cream ตัวนี้จะมีให้เลือกใช้ 2 สี แต่ที่เราเลือกใช้จะเป็นแบบ "Vanilla" เหมาะกับคนที่ชอบแต่งหน้าให้แลดูขาวมีออร่าวิ้งๆวาวๆวับๆแวมๆ
  Ø หาซื้อได้ที่: ในไอจี (ที่แม่ค้าน่ารักใสๆสไตล์เกาหลีมากจ้า)
  Ø ให้คะแนน: 9.5/10 (หักคะแนนตรงที่ราคาอาจจะแพงไปนิดนึง แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพแล้ว ก็ถือว่าสมเหตุสมผล)

               ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวกายที่มีอยู่ในสต็อกมี 3 แบบ ได้แก่


   1. K.A. UV Body Lotion SPF 25 PA+++
  Ø ประเภท: Skincare (Double-UV / Max-UVA Protection) โลชั่นกันแดดสูตรบำรุงเข้มข้น ป้องกันรังสี UVA และ UVB ด้วยค่า SPF 25 ปกป้องผิวคล้ำเสียแสบร้อนจากแสงแดด และการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  Ø  ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: ตัวนี้เป็นโลชั่นกันแดดที่มีเนื้อครีมสีขาว เป็นโลชั่นกันแดดแบบทั่วๆไป เนื้อนุ่ม ไม่เหนียวเหนอะหนะ แต่จะเกลี่ยยากหน่อย เพราะเนื้อสัมผัสครีมจะข้น ส่วนกลิ่นจะฉุนแอลกอฮอล์
  Ø ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü SPF 25 ปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB
ü PA+++ ป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย ที่เกิดจากแสงแดด 
ü Vitamin B5, Vitamin E: ช่วยบำรุงพร้อมเติมความเนียนนุ่มชุ่มชื่นสู่ผิว ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
ü สูตร Oil free
  Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: ตัวนี้จะมีประสิทธิภาพในเรื่องกันแดด (ชื่อก็บอกแล้วว่ากันแดด) จะใช้ทาเวลาต้องออกกลางแจ้ง สู้กับแสงแดดร้อนแรง แต่ตัวนี้ไม่ปลื้มตรงที่ไม่กันน้ำ คือพอเหงื่อไหลปุ๊บ ครีมย้อยหยาดเยิ้มปั๊บ เป็นคราบเลยจ้ะ (เป็นไอ้ด่างก็งานนี้555)
  Ø หาซื้อได้ที่: ร้านค้าที่ขายเครื่องสำอางทั่วไป
  Ø ให้คะแนน: 7/10 (หักคะแนนตรงที่เกลี่ยยาก ไม่กันน้ำ เยิ้มง่าย และกลิ่นฉุน)




   2. My Honey Bee Venom BB White Serum
  Ø ประเภท: Bee Venom BB White Serum สูตรเข้มข้นพิเศษที่ช่วยแก้ปัญหาด้านผิวพรรณ ผลิตภัณฑ์จากเกาหลี ที่พัฒนาให้เหมาะกับสภาพผิวคนเอเชีย ช่วยบำรุงผิวตึงกระชับเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ ปรับผิวที่หมองคล้ำให้ขาวกระจ่างใส พร้อมผสมสารกันแดด และให้กลิ่นหอมยาวนานตลอดวัน
  Ø ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: เนื้อครีมมีสีเหลืองอ่อน เนื้อสัมผัสครีมจะค่อนไปทางเหลวๆ เกลี่ยง่าย ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมแบบไม่ฉุนมากนัก (ดมดีๆเหมือนจะมีกลิ่นน้ำผึ้งออกมาเลย)
  Ø  ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü Bee Venom (พิษผึ้ง)
ü Royal Jelly (นมผึ้ง)
ü Manuka Honey (มานูก้า ฮันนี่)
ü Honey Extract (น้ำผึ้ง)
ü Glutathione (กลูต้าไธโอน)
ü Vitamin B3
  Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: BB ครีมทาตัว ตัวนี้ชอบตรงที่มีกลิ่นหอม ทาเพื่อปรับสภาพผิวให้เนียนขึ้น แต่จะไม่ขาวมาก เหมาะสำหรับคนผิวสองสี ประเด็นคือหลอดใหญ่เวอร์ ใช้มาเกือบปีนี่ยังไม่หมดเลย (มันหลอดใหญ่ หรือเราใช้แบบประหยัดเกิน ก็ไม่รู้สินะ 555) แต่ขอเตือนว่าคนที่แพ้สัตว์จำพวกผึ้ง ไม่ควรใช้เด็ดขาด เพราะมันมีส่วนผสมของนมผึ้งและพิษผึ้ง อาจทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองได้
  Ø หาซื้อได้ที่: ร้านค้าที่ขายเครื่องสำอางแบรนด์จากเกาหลี
  Ø ให้คะแนน: 8/10 (หักคะแนนตรงที่สีดร็อป ติดขน และไม่กันน้ำ)


   3. Frozen Me Frosty Body Blink DD Cream SPF 50 PA+++
  Ø ประเภท: DD Cream
  Ø ลักษณะเนื้อครีม/สี/กลิ่น: ตัวนี้เป็น DD Cream สูตรเยือกแข็ง เนื้อครีมมีสีอ่อน เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบ ไม่ติดเบาะรถ มีกลิ่นหอมเย็นๆสบายๆ แบบไม่ฉุน
  Ø ส่วนผสม/คุณสมบัติพิเศษ
ü Rumex Occidentalis Extract: มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase Enzyme ได้ถึง 3 ขั้นตอน จากผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่าได้ผลดีกว่า Hydroquinone และปลอดภัยกว่า จึงทำให้ผิวแลดูขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ü สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล: ช่วยปรับสีผิวให้ขาวขึ้น ด้วยการไปลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
ü Vitamin B3: ช่วยเพิ่มการสร้าง collagen ให้ผิวเต่งตึงขึ้น ขาวขึ้น และยังช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้ผิวสว่างใสขึ้นได้
ü Hydrolyzed Milk Protein: มีโปรตีนสูง ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งชุ่มชื้น สดใส ให้ผิวนุ่มเด้ง ลดความหยาบกร้าน และการเกิดขนคุดได้ ปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ü Cooling Agent: สารที่ให้สัมผัสที่เย็นขณะทา สามารถลดอุณหภูมิของผิวให้เย็นขึ้น รูขุมขนกระชับเรียบเนียนขึ้น สามารถลดการอักเสบของสิว และลดอาการระคายเคืองแสบจากการแผดเผาของแสงแดดได้เป็นอย่างดี
ü ประสิทธิภาพกันแดดสูงถึง SPF 50 PA+++
ü สาร Antioxidant และสารบำรุงต่างๆอัดแน่น เมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยบำรุงให้ผิวหน้าค่อยๆขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  Ø ความคิดเห็นส่วนตัว: เป็น DD Cream ทาตัว ที่ทาแล้วคือขาวเนียนทันทีทันตา สีผิวตอนทานี่แตกต่างจากชาติกำเนิดสีผิวตัวเองเลยจ้า เปลี่ยนคนผิวสองสีให้เป็นคนผิวขาวเนียนได้อะ แต่จะไม่ขาววอกนะ จะขาวแบบคนผิวขาวสุขภาพดีอะไรงี้ แถมยังกันน้ำ กันเหงื่อ กันฝนได้อีกด้วยอะ คือทาแล้วไปเดินตากฝน หรือจะลงไปว่ายน้ำ แช่น้ำ ก็ไม่ทำให้ครีมหลุดเป็นคราบ จะว่าไปก็เหมาะกับการป้องกันความดำจากแสงแดด จากการไปเที่ยวเล่นน้ำทะเลได้เนอะ แต่จะใช้เวลาไหนก็ได้ ไม่ว่าจะออกกลางแจ้ง หรืออยู่ในที่ร่ม เพราะมันเป็นครีมที่มีคุณสมบัติทั้งกันแดด และบำรุงผิวไปในตัว ว้าววว! เลิศเลอร์เพอเฟ็กอีกแล้ว!
     โดย DD Cream ตัวนี้มี 2 สีพาสเทล แต่ที่เราใช้จะเป็นแบบ "Sweet Amber (สีเหลืองพาสเทล)" เหมาะกับคนผิวสองสี/ผิวคล้ำ (เกือบจะดำอย่างเรา555) สามารถใช้ได้ทุกวัน เป็นการป้องกันความดำจากแดด และยังบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นไปในตัวอีกด้วย ราคาก็ไม่แพงมาก แถมปริมาณหลอดก็ใหญ่ น่าใช้จะตายไป
  Ø หาซื้อได้ที่: ในไอจี (ที่แม่ค้าน่ารักใสๆสไตล์เกาหลีมากจ้า)
  Ø ให้คะแนน: 10/10 (ไม่หักคะแนน เพราะชอบตรงที่ทาแล้วให้สีผิวขาวเนียนเป็นธรรมชาติ ดูผิวสุขภาพดี ไม่ขาววอกเวอร์จนเกินไป  แถมกันแดด กันน้ำและกันเหงื่อได้อีกด้วย ที่สำคัญขนาดหลอดใหญ่ดี อันนี้มีครบ..จบหลักสูตรจริงๆ)

สรุปความชอบและความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์

Ø ครีมบำรุงผิวหน้า
1. Frozen Me Frosty DD Cream SPF 50 PA+++
2. Mistine BB Wonder Cream SPF 30
3. K.A. UV Whitening Protection Cream SPF 50 PA+++

Ø ครีมบำรุงผิวกาย
1. Frozen Me Frosty Body Blink DD Cream SPF50 PA+++
2. My Honey Bee Venom BB White Serum
3. K.A. UV Body Lotion SPF 25 PA+++

              หวังว่าการรีวิวครีมครั้งแรกของเรา จะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนอ่าน หรือคนที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย เพราะความสวยใส ความงาม และความขาววิ้ง..เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการดูแลตัวเอง