บทความที่ได้รับความนิยม (Top 10)

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

พิชิตสอบ เทคนิคอ่านหนังสือให้พบคำตอบ ทำข้อสอบได้ (เป็นกำลังใจให้รุ่นน้องมหาลัย)

เพลง..โชค A (B King)

          "โอ๊ยยย ขี้เกียจอ่านหนังสือสอบจังเลย สอบก็เยอะ เนื้อหาก็แยะ อ่านกี่รอบก็จำไม่ได้สักที นอนดีกว่า ค่อกกก (=0=)Zzz"
ช่วงเทศกาลสอบของนักศึกษามหาลัย เชื่อว่ามีหลายคนต้องบ่นแบบประโยคข้างต้นนี้ (ตัวเราเองก็ยังเคยบ่นเลย5555) แต่บ่นยังไง สุดท้ายก็ต้องอ่านหนังสือสอบอยู่ดี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า..ทำไมเราจำไม่ได้สักทีนะ อ่านวิชานั้น ลืมวิชานี้ ความรู้ตีกันยุ่งในหัวไปหมด ท้อแท้จนไม่อยากอ่าน หรือบางคนอาจปลงกับชีวิต จนไม่อ่าน หวังพึ่งบุญกุศลที่ได้ทำมาในชาตินี้ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะจ๊ะหนู - -' 

          บทความนี้จึงจะมาบอกวิธีการแก้ปัญหา ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะอ่านหนังสือสอบให้เข้าใจ และจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ (จากการรวบรวมข้อมูล และเทคนิคเฉพาะตัวของตัวเอง)

ที่มา: http://i108.photobucket.com/albums/n32/koohjung_2006/renew/roughwhat2.jpg

1. สุขก่อนสอบ: ก่อนจะอ่านหนังสือสอบอย่างจริงจัง ให้ทำตัวเองให้มีความสุขที่สุด หากิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย (หากคิดว่าเวลาที่มีอยู่จะอ่านหนังสือทัน) ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง เดินเล่น เม้ากับเพื่อน หรือจะนอนชาร์จพลังให้เต็มอิ่มเลยก็ได้

2. เงียบสงบ สยบกิเลส: หาสถานที่อ่านหนังสือที่เงียบสงบ ห่างไกลจากสิ่งยั่วกิเลส เช่น มือถือ ทีวี คอมพิวเตอร์ และไร้เสียงรบกวน ชวนสมาธิแตก ไม่ควรฟังเพลงไป อ่านหนังสือไป เพราะเป็นเรื่องยากที่สมองจะแยกประสาท (ยิ่งคนสมาธิสั้น ยิ่งไม่ควรทำ) ที่สำคัญ หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือบนที่นอน เพราะมันจะดูดพลังงานความขยัน และเพิ่มความขี้เกียจให้ตัวเรา สุดท้ายลงเอยด้วยการนอนหลับคาหนังสือสอบ (ค่อกกกก พรุ่งนี้ค่อยอ่านละกัน =0= Zzz)

3. อ่านคนเดียว เฟี้ยวกว่าอ่านหลายคน: การอ่านหนังสือเงียบๆคนเดียว จะทำให้เรามีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เราอ่าน มากกว่าการอ่านติวกับเพื่อนหลายๆคน (ถ้าเราไม่ได้เรียนแย่ขนาดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนต้องพึ่งพาให้เพื่อนช่วยติว) อันนี้เหตุผลง่ายๆเลยคือ..เพื่อนๆจะพากันเม้ามอย คุยเล่น ไม่เป็นอันอ่านหนังสือ แต่ก็มีเพื่อนบางกลุ่มที่อ่านหนังสือด้วยกันแบบเงียบสงบ (อันนี้ก็แล้วแต่สไตล์คนละเนอะ)

4. รู้ใจอาจารย์ อ่านอย่างมีเทคนิค: อ่านหนังสือสอบครั้งแรก ให้อ่านคร่าวๆ พอจับใจความสำคัญได้ เมื่อเราเข้าใจโดยคร่าวๆแล้ว ในการอ่านรอบต่อๆไป ให้พยายามจดจำรายละเอียดที่คิดว่าอาจารย์จะออกสอบ อาจารย์บางท่านจะบอกแนวข้อสอบ ซึ่งก็เป็นการเปิดทางให้เรา แต่สำหรับอาจารย์ท่านใด ที่ไม่บอกแนวข้อสอบ เรามีเทคนิคเฉพาะตัว (ไม่รู้จะใช้ได้ผลกับคนอื่นหรือเปล่า) นั่นคือเราต้อง "รู้ใจอาจารย์" รู้ใจในที่นี้ หมายความว่า เราต้องมีเซ้นส์ พอเดาสไตล์การออกข้อสอบของอาจารย์แต่ละท่านได้ ว่าเขาจะออกแนวไหน ส่วนไหนของเนื้อหาที่จะออกสอบ เทคนิคนี้จะใช้ได้ เมื่อเราได้ทำการสอบกับอาจารย์ท่านนั้นบ่อยๆ แต่ก็มีอาจารย์บางท่านที่ใช้วิทยายุทธ เปลี่ยนแนวการออกข้อสอบที่หลากหลาย ไม่ให้จับทางได้ (เจออาจารย์แบบนี้ คงต้องตามเวรตามกรรมแล้วละ) ยังไงก็ลองสังเกตุการออกข้อสอบของอาจารย์กันดูนะ

5. อ่าน+เขียน+พูด=สูตรสำเร็จของการจำ: การอ่านเพียงอย่างเดียว อาจไม่ช่วยทำให้เราเข้าใจหรือจดจำได้หมด เราจะต้องทำการเขียนสรุปสิ่งที่เราเข้าใจ หรือทำเป็น Mind map (แผนผังความคิด) มีการเชื่อมโยงจากไอเดียหลักตรงการ แตกกิ่งออกไปเรื่อยๆ ประกอบด้วย คำสำคัญ รูปภาพ และกระตุ้นการจำด้วยการใช้สี เพราะสมองเราจะจดจำได้ดีขึ้น เมื่อใช้เป็นภาพ สี และการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เป็นการเพิ่มความคิดและจินตนาการ เมื่ออ่านและเขียนแล้ว เราจะต้องพูดสรุป อธิบายสิ่งที่เราอ่านให้ตัวเองฟังบ่อยๆ หรือให้เพื่อนๆช่วยฟัง หากเราอธิบายอย่างลื่นไหล ไม่วกไปวนมา ทำให้เพื่อนๆเข้าใจ ข้อสอบที่ว่ายากและเยอะก็เหอะ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก..บอกเลย วะฮะฮ่า! (^0^)

ที่มา: http://www.siraekabut.com/wp-content/uploads/2013/07/try-mind-mapping-mindmap.jpg

6. ท่องจำตอนเช้า เอาให้ชัวร์ก่อนเข้าห้องสอบ: จากงานวิจัยพบว่า ช่วงเวลาตอนเช้า เป็นช่วงเวลาที่สมองเราจะจดจำและรับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หากเราคิดว่าสิ่งที่อ่านคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าเราอาจจะลืมบางส่วน หรือคืนนี้อ่านอะไรไป พรุ่งนี้ตื่นเช้าวันใหม่แล้วเกิดลืม ให้รีบฝืนตื่นเช้า เพื่อมาท่องจำเนื้อหาที่จะสอบในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ แต่ขอแนะนำว่า หากเป็นไปได้ ไม่ควรมาอ่านหรือท่องจำหน้าห้องสอบ แบบที่ว่าไฟลนก้น อีกไม่กี่นาทีต้องเข้าห้องสอบ นั่นจะทำให้เรายิ่งลนลานและสติแตก จากการที่โดนเวลา (และสายตาอาจารย์คุมห้องสอบ) บีบบังคับให้สมาธิแตก อาจจะทำให้เราลืมข้อมูลที่เราอ่านก็เป็นได้

7. เคี้ยวหมากฝรั่ง ออกกำลังกาย: การออกกำลังกาย และการเคี้ยวหมากฝรั่ง (แต่ไม่ใช่ไปเคี้ยวในห้องสอบ และแปะไว้ตามโต๊ะนะ) จะทำให้มีความจำดีขึ้น เนื่องจากจะไปเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนที่เรียกว่า "Hippocampus" ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญในเรื่องของความทรงจำ และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้สมอง

8. งีบหลับ ดับความง่วง: หากอ่านหนังสือแล้วง๊วงง่วง อ่านไปก็ไม่เข้าสมองอยู่ดี ในเมื่อสมองมันล้า อยากจะพักผ่อน ก็อย่าไปฝืนสมองมัน แนะนำให้งีบหลับสัก 10-20 นาที (หรือที่เรียกว่า Power Nap) แต่ถ้างีบหลับเกิน 30 นาที ตื่นขึ้นมา อาจจะทำให้มึนอึนงงงวย สมองเบลอๆ เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราจะหลับลึก และถ้าหลับยาวนาน อาจทำให้เราขี้เกียจตื่นก็เป็นได้

9. ทานอาหารดี มีชัยไปกว่าครึ่ง: รับประทานอาหารที่่ช่วยในเรื่องความจำ เช่น ปลา น้ำมันตับปลา ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว เมล็ดธัญพืช แปะก๊วย ผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี่ ช็อกโกแลต ไข่ นม แต่มีเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ที่ไม่ควรรับประทาน แต่กลับฮิตดื่มกันในช่วงสอบ สำหรับคนที่ต้องการอ่านหนังสือมาราธอน แบบไม่หลับไม่นอน เครื่องดื่มที่ว่านี้ก็คือ "เครื่องดื่มชูกำลัง" จริงอยู่ที่เครื่องดื่มชนิดนี้จะทำให้เราไม่ง่วง กระปรี้กระเปร่า แต่มันจะไปกระตุ้นประสาท เนื่องจากมีส่วนประกอบจำพวก Xanthine, Guarana, Taurine, Caffeine ซึ่งเป็นสารกระตุ้นประสาท ตอนเราดื่ม เราอาจรู้สึกมีพลังในการอ่านหนังสือ แต่พอหมดฤทธิ์ของสารเหล่านี้ สมองจะรู้สึกเบลอและอ่อนล้า แบบที่ว่าง่วงจนต้องนอนน็อคไปเป็นวันๆ (อันนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงกับตัวเอง)

ที่มา: http://www.anantasook.com/wp-content/uploads/2014/07/energy-drink.jpg


10. อ่านจนเครียด เจียดเวลามากอดกัน: หากอ่านหนังสือสอบจนรู้สึกว่าตัวเองท้อ เครียด หัวสมองจะระเบิดเถิดเทิง รับไม่ไหวแล้ว ให้หยุดพัก นั่งหลับตาในท่าที่ผ่อนคลาย สูดลมหายใจลึกๆ หากทำเช่นนี้แล้วยังไม่ดีขึ้น วิธีที่จะผ่อนคลายความเครียดอีกวิธีหนึ่งก็คือ "การกอด" กอดพ่อ กอดแม่ กอดเพื่อน กอดแฟน(ยิ่งทำให้หายเครียดเลยจ้า) กอดหมา กอดแมว กอดตุ๊กตา กอดตัวเอง(กอดแบบนี้ใช้กับคนโสดจ้า) เพราะการกอดจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า "Oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความรัก)" และลดการหลั่งของฮอร์โมน "Cortisol (ฮอร์โมนแห่งความเครียด)" 



"พยายาม" เพื่อทำให้ "ได้"
"ตั้งใจ" เพื่อทำให้ "ดี"
หากมีสองสิ่งนี้อยู่ในตัว จงอย่ากลัวกับผลที่ออกมา
ถ้าวันนี้เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราโง่ ไม่ใช่ว่าเราแพ้
เราแค่..พลาดบางสิ่งที่เรามองข้ามไป
หากครั้งนี้ไม่ใช่การสอบครั้งสุดท้าย หากยังมีครั้งหน้าให้แก้ตัวใหม่
เรามีความในใจ อยากจะบอกคนที่กำลังท้อกับการสอบว่า...
"ไม่เป็นไร เอาใหม่ ยิ้มให้หน่อยน่าาาา" ^_____^

ขอให้ทุกคนจงโชค A :)

ทิ้งทวนชวนอ่าน (สำหรับรุ่นน้องมหิดล): สุดท้ายนี้ พี่ขอเป็นกำลังใจให้รุ่นน้อง "มหิดล" และ "มหิดล กาญจนบุรี" ในการสอบครั้งนี้ น้องเข้ามาเป็นนักศึกษามหิดลด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ระหว่างทางอาจทำให้น้องท้อแท้จนรอยยิ้มจางหายไป แต่มองไปข้างหน้าสิ ปลายทางกำลังบอกน้องอยู่ว่า "เรารอที่จะยินดีกับความสำเร็จของบัณฑิตในอนาคตอยู่นะ" พี่เชื่อว่าน้องจะต้องจบออกไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ^______^


วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ความผูกพันแบบไร้สถานะ (เรื่องราวความรักดีๆอีกรูปแบบหนึ่ง)

 
เพลง..รักแท้ (บอย โกสิยพงษ์)


                มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึก เพราะมนุษย์ทุกคนมีหัวใจ และหัวใจที่มีความรู้สึกนั้น หากผสมผสานกับความสัมพันธ์ที่ดีจากใครสักคน มันก็อาจจะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” และ “ความผูกพัน"
                หลายๆคนอาจจะเคยผ่านเหตุการณ์ความรักในรูปแบบ “ไม่มีสถานะที่ชัดเจน” หรือ “นิยามไม่ได้ว่าเราเป็นอะไรกัน” แต่อาจจะมีบางคนที่ยังไงก็ไม่ยอมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เด็ดขาด ฉันต้องการความชัดเจน! ประมาณว่า..ฉันเป็นอะไรสำหรับคุณ? การที่คุณจะเรียกร้องสถานะจากคนที่คุณรักนั้น ลองย้อนกลับมาถามตัวเองก่อนว่า..เราสำคัญพอที่เขาจะให้เราอยู่ในสถานะคนที่เขารักหรือเปล่า? ดูได้จากการกระทำ ความจริงใจ ความห่วงใย เอาใจใส่ และการเสียสละโลกส่วนตัวของเขา ด้วยการก้าวเข้ามาเรียนรู้ตัวตนคุณ นั่นเท่ากับว่าคุณสำคัญพอ แต่ถ้าคุณยอมรับได้กับความรักในรูปแบบที่สถานะไม่ชัดเจน (โลกสวยไว้ก่อน) ไม่ว่าจะเป็นอะไรสำหรับเขา แค่เราได้คุย ได้ศึกษาดูใจ ห่วงใยซึ่งกันและกัน แบ่งปันเรื่องราวในชีวิตให้ได้รับรู้ อยู่เคียงข้างกันในวันที่ต่างฝ่ายต่างพบเจอปัญหา หากความรู้สึกเช่นนี้มันยังคงอบอวลอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆในทุกๆวัน หากคุณและเขาสามารถรักษาความสัมพันธ์ได้อย่างแนบแน่น คำว่า “แฟน” ก็คงไม่รู้สึกดีเท่ากับ “คนรู้ใจ” บางที “ความผูกพัน” มันมีค่าและมั่นคงมากกว่า “ความรัก” เพราะความรัก..สามารถลดหมดลง แต่ความผูกพันและความมั่นคง จะยังคงอยู่ได้นานตลอดไป
                กรณีความผูกพันที่ไร้สถานะ ที่จะเล่าให้ฟังนี้ มันก่อเกิดจากมิตรภาพความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความบังเอิญ แต่มันเป็นความบังเอิญที่ต่อมากลายเป็นความตั้งใจ ที่ทั้งคู่อยากจะสานสัมพันธ์นี้ต่อไป จากการคุยกันทุกวัน หยอกล้อกัน รับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน มันทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีแบบไม่รู้ตัว ไม่ชัวร์ว่านี่เป็นความเคยชินหรือความรักกันแน่? ต่างคนต่างสงสัยในคำถามนี้ กว่าจะค้นพบคำตอบของหัวใจ กลับต้องมีใครสักคนที่ต้องเสียใจ เพื่อแลกกับคำตอบของความรู้สึกนี้
                เมื่อคุยกันไปได้สักพัก เรื่องราวกลับไม่สวยงามอย่างในตอนแรก เมื่ออีกคนกลับเลือกที่จะตีจาก หายไปจากชีวิตของใครอีกคน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนที่โดนทำลายความรู้สึก ต้องหมดความไว้ใจ นั่นคือหายไปเพราะรักใครคนอื่น กว่าจะรู้ตัวว่าที่พบเจออยู่มันไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงแค่ความหลงใหลในเปลือกนอก พอคิดได้และอยากจะกลับไปหาใครคนนั้น มันก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เคยมีนิยามประโยคที่ว่า “ไม่มีอะไรสายเกินแก้” มันอาจจะใช้ได้ในบางกรณี แต่ในกรณีความรู้สึกของใครบางคน มันอาจจะใช้ไม่ได้ เพราะความไว้ใจและความรู้สึกที่สูญเสียไปแล้วนั้น มันไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ดังนั้นจงอย่าทำลายความรู้สึกใคร ด้วยการทำให้เขารัก แล้วเราก็เลือกที่จะหายไปจากชีวิตเขา เพราะวันไหนที่เราคิดได้และอยากกลับไป เขาอาจปิดใจ ไม่ต้อนรับการกลับมาของเราอีกเลย...



                เหตุการณ์เหมือนจะต้องจบลงตรงทางแยก ไม่สามารถที่จะกลับมาเดินด้วยกันได้อีก แต่เชื่อไหม..ถึงความรักและความไว้ใจ จะหมดลงไป แต่ความทรงจำดีๆและความผูกพันมันยังคงอยู่ และสิ่งนี้มันทำให้ทั้งสองคนกลับมามีเรื่องราวดีๆด้วยกันอีกครั้ง ความห่วงใยและความหวังดี ยังคงมีให้กันและกันเสมอมา ไม่ว่าช่วงเวลาของทั้งสองคนจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกดีๆ ระหว่างทางต้องเผชิญกับความรู้สึกที่สั่นคลอน แต่ท้ายที่สุดก็จบลงตรงความสัมพันธ์ที่เรียกว่า.. “ความผูกพันแบบไร้สถานะ” และทั้งสองคนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ความสัมพันธ์แบบนี้ตลอดไป...



บทสนทนาแห่งความผูกพัน (แบบไร้สถานะ) ของทั้งสองคน

: เค้ามีอะไรจะสารภาพ ช่วงนึงที่เค้าหายหน้าไปเกือบเดือน คือช่วงนั้นชีวิตเค้ามีแต่ปัญหา มันรู้สึกมืดแปดด้าน มันมองไม่เห็นทางอะไรเลยจริงๆ บวกกับภาพความทรงจำในอดีตที่้ร้ายๆมันวกกลับเข้ามาในหัว เค้าเอาแต่โทษตัวเองกับความผิดพลาดที่เค้าไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ มันทำให้เค้าท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่อยากคุยกับใครเลย เก็บตัวอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ลืมภาพความสุขทุกๆอย่างในชีวิต เค้าคิดว่าจะไม่มีใครสนใจเค้า ไม่มีใครตามหาเค้า แต่มีอยู่คนนึง ที่ทำให้เค้าดึงตัวเองออกมาจากโลกสีเทาแห่งความทุกข์ใบนั้น ทำให้เค้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คนที่เค้าคิดว่าเขาไม่น่าจะตามหาเรา แต่กลับเป็นคนที่ตามหาเราคนแรก รู้มั้ยใคร ? … เธอไง :)

: อยู่คนเดียวแล้วคิดอะไรได้บ้างละ หามุมที่อยู่แล้วเรามีความสุขสิ ทำร้ายตัวเองทำไม ยิ่งปิดกั้นตัวเอง อาจจะยิ่งพลาดสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองนะ สิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันจะผิดพลาดแค่ไหน ก็ให้มันเป็นบทเรียนที่ถือว่าต้องเรียนรู้กันไป ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาดอยู่แล้ว เข้าใจใช่เปล่า รู้มั้ย ไม่ว่ายังไงเค้าก็จะอยู่เคียงข้างเธอนะ :)

: เค้าเหมือนอยากเข้มแข็งให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นน่ะ เพราะคิดเสมอว่าท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว แต่ ณ ตอนนี้ มองย้อนกลับไป มันทำให้เค้าคิดได้หลายๆอย่าง อย่างน้อยเราก็รู้ว่าใครรักและห่วงเรา แล้วเค้าก็ค้นพบมุมความสุขของเค้าแล้วแหละ และก็รู้ว่ามุมๆนี้ควรจะให้พื้นที่กับใครหรือสิ่งไหนบ้าง และในมุมนี้มันมีเธออยู่ในนั้น ขอโทษสำหรับเรื่องราวในวันนั้น ที่เค้าทำให้เธอเสียใจ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตเค้านะ เค้าจะไม่อยู่ข้างๆเธอ แต่เค้าจะอยู่รอบๆตัวเธอ ไม่ว่าเธอจะหันไปทางไหน เธอก็จะเห็นเค้าที่ห่วงใยและหวังดีกับเธอเสมอ :)
 
รักคือความเข้าใจและการให้อภัย ความห่วงใยคือการเอาใจใส่ ความผูกพันคือสิ่งที่ไม่เคยจางหายไป

แล้วคุณละ รู้สึกผูกพันกับใครไหม ถ้าคุณรู้สึกผูกพันกับใคร อย่าลืมส่งความรู้สึกดีๆให้เขาได้รับรู้ หากคุณไม่รู้จะส่งความรู้สึกดีๆยังไง ลองส่งเรื่องราวดีๆเรื่องนี้ให้คนที่คุณผูกพันได้อ่าน บางทีเขาอาจจะรอความรู้สึกดีๆจากคุณอยู่ก็ได้นะ

 
     ทิ้งทวนชวนอ่าน: ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก: ภาวะกาฝาก (จิตวิทยาความรัก) ผู้เขียนไปอ่านเจอบทความจาก blog ของ Snowy Girl รู้สึกชอบบทความนี้มาก เป็นเรื่องราวความรักที่อ่านแล้วเป็นการเตือนสติของคนที่กำลังอกหัก แบบที่ว่ารักเขามาก ขาดเขาไม่ได้ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ หากคุณรู้สึกจะเป็นจะตายขนาดนี้ ลองอ่านบทความนี้ แล้วคุณอาจจะมีสติคิดอะไรได้มาก อ่านแล้วอาจจะแสบๆคันๆที่ใจ แต่เป็นการหักดิบเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของหัวใจคุณ ซึ่งถ่ายทอดประสบการณ์การรักษาคนไข้ของจิตแพทย์ Dr.Scott Peck ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดีชื่อ "The Road He Travelled"

 
 

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

Palmeraie Beach Resort..รีสอร์ทติดทะเลในจังหวัดระยอง(ฮิ)

ทะเลก็มีชีวิต (ชีวิต) ทะเลก็มีหัวใจ (หัวใจ)
ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย (ไป!!) ไปดำดูปะการัง


       ขอเริ่มต้นบทความนี้ด้วยเพลงรั้วทะเล (คาราบาว) เพลงที่ฟังแล้วทำให้อยากไปเที่ยวทะเล ไปดำดูหอยปูปลา เอ้ย ดูปะการัง และช่วงนี้ใกล้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว เป็นฤดูที่เหมาะแก่การเที่ยวทะเลที่สุด อากาศร้อนตับแล่บแสบทรวงขนาดนี้ ถ้าได้กระโดดน้ำทะเลใสๆเย็นๆแล้วละก็ คิดดูสิ จะสุขขีสุขสันต์ ลัลล้าหรรษา พาชื่นใจขนาดไหนเชียว คิดแล้วอยากจะใส่ทูพีช/วันพีช/ซีโร่พีช (แก้ผ้านั่นเอง) และกระโดดลงทะเลซะตอนนี้เลย 55555 เรามาเข้าเรื่องอย่างมีสาระกันดีกว่าเนอะ ^^

       หากคุณวางแผนจะเที่ยวพักร้อน เพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน อยากให้รางวัลแก่ชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีแผนมาเที่ยวกับครอบครัว เพื่อน แฟน เดอะกิ๊ก หรือใครก็แล้วแต่ ถ้าคุณยังไม่รู้จะไปพักผ่อนที่ไหน วันนี้เรามีรีสอร์ทติดทะเล บรรยากาศดีๆ ในจังหวัดระยอง(ฮิ) มานำเสนอแก่คุณ เราไปทำความรู้จักกับรีสอร์ทแห่งนี้กันเลย



ป้ายชื่อรีสอร์ท

Welcome to Palmeraie Beach Resort

ด้านหน้าของรีสอร์ท

ทางเข้ารีสอร์ท


          โรงแรมปาล์มมาลีบีช รีสอร์ท (จ.ระยอง) เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับทะเล บรรยากาศร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะแก่การเดินทางมาพักผ่อน ชมวิวทะเลสวยๆ เล่นน้ำทะเลใสๆ รีสอร์ทจะเปิดให้ใช้บริการได้ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 7-8 มีนาคม 2558 (อย่างไม่เป็นทางการ) เนื่องจากภายในห้อง ยังไม่ได้ทำการติดตั้งโทรศัพท์ และสระว่ายน้ำยังไม่พร้อมให้ใช้บริการ ซึ่งทางรีสอร์ทกำลังปรับปรุงใหม่อยู่ค่ะ และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เร็วๆนี้


วิวจากด้านบนตึก 

ชายหาดน่าเดินเล่นมาก

บรรยากาศริมชายหาด

เก้าอี้สองตัวนี้ รอให้คุณมานั่งชมวิวทะเลอยู่นะ

บรรยากาศรอบๆรีสอร์ท

บรรยากาศริมสระว่ายน้ำ (อยู่ในช่วงปรับปรุงใหม่)

โต๊ะพูลที่เพิ่งนำเข้าใหม่ คนชอบแทงพูลไม่ควรพลาด

บรรยากาศหน้า Lobby

คุณสามารถติดต่อแผนก Reception ได้ ณ จุดนี้

สนามเทนนิสไว้ออกกำลังกาย (ชาวต่างชาติมาตีเทนนิสทุกเช้าเลย)


       สำหรับรายละเอียดค่าห้องพัก จะอยู่ที่ราคา 1,700 บาท พร้อมอาหารเช้า American Breakfast 2 ท่าน หนึ่งห้องจะพักได้ 2 ท่าน และทางรีสอร์ทมีบริการ Wifi ฟรี โดยไม่ต้องใช้พาสเวิร์ด

       หมายเหตุ: โปรโมชั่นราคานี้ จะใช้เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น หากรีสอร์ทเปิดอย่างเป็นทางการ ราคาอาจจะปรับขึ้นเล็กน้อยตามความเหมาะสม



บรรยากาศภายในห้อง


ภายในห้องจะมี 2 เตียง


ระบบความปลอดภัย ด้วยกล้องวงจรปิด ณ จุดสำคัญของรีสอร์ท และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.

เพียงแค่เปิดผ้าม่าน ก็สามารถเห็นวิวที่สวยงาม

ภายในห้องมีทีวี ตู้เย็น โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ พร้อมอำนวยความสะดวก

ประตูห้องใช้ระบบคีย์การ์ด

หนึ่งห้องจะพักได้ 2 ท่าน

       หากมีข้อสงสัย และอยากสอบถามรายละเอียด สามารถสอบถามได้ที่เฟสบุค Palmeraie Beach Resort - Rayong หรือติดต่อโดยตรงกับคุณวชิรนันท์ (ผู้จัดการรีสอร์ท) ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 085-2112137 และเบอร์โทรศัพท์ของทางรีสอร์ท 038-638071-2 หรือ E-mail: palmeraiebeach@hotmail.com


โรงแรม Palmeraie Beach Resort สนับสนุนให้คนไทย
เที่ยวเมืองไทย ใกล้ชิดทะเล


วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

มองอุปสรรคให้เป็นเหมือน "คลื่นทะเลที่หมดแรง" (กำลังใจดีๆ)

         
          ไม่มีชีวิตไหน เกิดมาไม่เคยพบเจอปัญหาและอุปสรรค ที่คอยขัดหู  ขัดตา ขัดใจ แต่การที่เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ปัญหาประเดประดังมาที่เรา เปรียบกับเรายืนอยู่ริมทะเล ข้างหน้าเป็นคลื่นลูกใหญ่หลายลูก ที่ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาหาเรา เรายืนขาแข็ง มองดูคลื่นเหล่านั้น มันช่างน่ากลัว เราคิดไปแล้วว่าคลื่นต้องพัดพาเราจมหายไปในทะเลแน่ๆ ปัญหาและอุปสรรคอันหนักหนา ต้องพาให้เราล้มลงจนลุกไม่ไหวแน่ๆ แต่ถ้าเราตั้งสติ ใจกล้า และขาแข็ง ยืนเผชิญหน้ากับคลื่นที่ถาโถมซัดเข้ามา เราจะพบว่าท้ายที่สุดแล้ว คลื่นหลายลูกที่ดูสูงใหญ่และน่ากลัว พอเข้าใกล้ตัวเรา คลื่นเหล่านั้นก็หมดแรง เป็นเพียงแค่กระแสน้ำเย็นๆที่สัมผัสตัวเรา
 
          บางสิ่งที่เราคิดว่ามันโหดร้ายและน่ากลัว แท้จริงแล้วมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับ..มโนภาพของจิตใจในแง่ร้ายของตัวเราเอง 
 
          หากคุณกำลังมืดมน สับสน จมดิ่งอยู่กับความล้มเหลวและความทุกข์ จนลุกขึ้นเดินต่อไปไม่ไหว เราจะไม่บอกคุณว่า "อย่าท้อดิ" "เข้มแข็งสิ" "สู้สิวะ" "ท้อแท้แบบนี้ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก" แต่เราจะบอกคุณว่า "คุณไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ลองปาดน้ำตา เงยหน้า แล้วหันมองมารอบๆตัวคุณ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใย จากคนใกล้ตัวที่เขารักคุณ" :)
 
ทิ้งทวนชวนอ่าน: บทความนี้เป็นบทความที่ผู้เขียนคิดขึ้นเอง เป็นบทความแรกกับการเป็น มือใหม่หัดเขียน blog ที่ผู้เขียนอยากเริ่มต้น blog ด้วยเรื่องราวที่ให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญปัญหาแล้วรู้สึกท้อแท้ ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เคยท้อแท้สิ้นหวัง จนหมดพลังที่จะใช้ชีวิตต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต่อเติมพลังชีวิตเรา สิ่งนั้นก็คือ กำลังใจจากคนในครอบครัวและคนที่รักเรา ลองถามตัวเองซิว่า..วันนี้คุณให้กำลังใจตัวเองและคนที่คุณรักแล้วหรือยัง?