บทความที่ได้รับความนิยม (Top 10)

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นิยายเรื่อง "ครอบครัวไม่ผิด..ผิดที่โลกเหวี่ยงฉันลงมาผิดจังหวะ" (ตอน1: โตขึ้นหนูอยากเป็นเด็กค่ะ / พ่อหนูน่ารัก..ตอนที่เหล้าไม่เข้าปาก พ่อน่ากลัวมาก..แต่การจากไปของพ่อน่ากลัวกว่า)

          'ครอบครัวที่อบอุ่น' 'พ่อแม่ที่รับฟังและเข้าใจ' ไม่ว่าลูกคนไหนก็ต้องการ แต่ถ้าเราเกิดมาในโลกที่ไม่สวยนัก 'ความรัก' อาจไม่ใช่จุดกำเนิดของชีวิต หากเป็นเพียง 'ความผิดพลาด' แต่ (ยังดีที่) ไม่ขาด 'ความรับผิดชอบ' ประกอบกับ 'หน้าที่' ของมนุษย์ที่เป็นพ่อแม่คน ชีวิตที่โดนโลก (ที่สองหรือที่สามก็ไม่รู้สินะ) เหวี่ยงลงมาอย่างผิดจังหวะไปสักหน่อย ทำให้ชะตากรรมชีวิตเด็กผู้หญิง (จริงๆเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่หญิงตั้งแต่อายุ 8 ขวบละ) อย่าง 'เติ้ล' ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาภายในครอบครัว ต้องต่อสู้กับคำครรหาว่าเป็น 'เด็กขาดความอบอุ่น' 'เด็กมีปัญหา' 'เด็กเก็บกด' 'เด็กผิดเพศ' และการก้าวเข้าสู่โลกแห่งความจริง (ที่ไม่สวยงามตามท้องเรื่องอย่างในการ์ตูนวอลต์ดิสนี่ย์) เร็วกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน ก็โลกดันเหวี่ยง (เขวี้ยง! เลยดีมั้ยละ) เธอลงมาผิดจังหวะซะงั้น เห้อออออ! (-_-')

'เติ้ล'..สาวห้าว (วัยทำงาน ผ่านการเป็นบัณฑิตจบใหม่สดๆร้อนๆ)
ที่โลกเหวี่ยงให้เธอลงมาเกิดในครอบครัวแบบผิดจังหวะ


          'เติ้ล' หญิงสาวสุดห้าววัยทำงาน ที่เพิ่งผ่านการเป็นบัณฑิตจบใหม่ (ไฟลุก) เมื่อไม่นานมานี้ ดีกรีเกียรตินิยมทางด้านกิจกรรมเป็นเลิศ! มีคติประจำใจคือ "เรื่องเรียนเป็นที่สาม กิจกรรมเป็นที่สอง การมองหนุ่มสาวมาเป็นที่หนึ่ง" กายภายนอกที่มีทุกอย่างเหมือนผู้หญิง (แม้ว่าบางส่วนจะดูเล็กซะจนไม่คู่ควรกับการเป็นผู้หญิงก็ตาม) แต่จิตใจภายในของเธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกบางคนเสียอีก ชีวิตเธอที่เหมือนเพิ่งเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่โลกแห่งความจริง แต่สำหรับเธอ..มันไม่ใช่เพิ่งเริ่ม โลกแห่งความจริงที่เธอโดนคนเบื้องบน (หรือเบื้องล่าง?) เหวี่ยงให้ก้าวเข้าไปเผชิญนั้น มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเธอใช้คำนำหน้าว่า 'เด็กหญิง'

          บางคน บางคำพูด บางเหตุการณ์ บางความคิด ได้มากระทบกล่องดวงใจของเธอ (เติ้ล: ผู้หญิงไม่มีเว่ย ตลกไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวปั๊ดโบกคนแต่งเลยนี่แม่ม - -') .. [ตัวละครทะเลาะกับคนแต่ง ธรรมดาที่ไหน 5555] งั้นเรียกว่า 'กล่องความทรงจำ' ละกัน กล่องลึกลับสีเทาๆเขรอะฝุ่นใบนี้ ได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากถูกปิดตายมานานนับสิบปี...

          ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ณ โรงเรียนสตรีล้วนแห่งหนึ่ง ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คาบวิชาแนะแนว เป็นชั่วโมงที่การเรียนการสอนจะพูดถึง "อนาคต(ที่อยากเป็น)" ของนักเรียนแต่ละคน ครูแนะแนวได้ถามคำถามนี้ ไล่ตั้งแต่นักเรียนหน้าห้องคนแรก จนมาถึงนักเรียนหลังห้องคนสุดท้าย สายตาที่ดุปนความเอือมระอา แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนตามประสาครูแนะแนว ส่งสัญญาณเตือนให้เพื่อนโต๊ะข้างๆได้มีปฏิกิริยาใช้ฝ่ามือ (เอ่อ..นิ้วมือละกัน) สะกิดดังเพี้ยะ!! (เรียกว่าตบหรือฟาดดีกว่าเนอะ ถ้าจะแรงขนาดนี้ -*-) ไปที่ไหล่ของ 'เติ้ล' ที่กำลังฟุบหลับน้ำลายไหลย้อยใส่สมุดที่เธอโน้ตไว้ ไม่สิ..เรียกว่าวาดรูปเล่นดีกว่า (=_=')

เติ้ล: "โอ๊ยยย!" (สะดุ้ง พร้อมโวยวายใส่เพื่อน) "มึงตบกูทำไมเนี่ย กูง่วง กูจะนอน" (=0=)Zzz
เพื่อน: "โทษทีเพื่อนรัก แต่กูว่ามึงคงนอนไม่ได้แล้วว่ะ สายตาพิฆาตจ้องมึงอยู่น่ะ" (พร้อมชี้ไปที่ครูแนะแนว)
ครูแนะแนว: "อะแฮ่ม! ครูสั่งให้เพื่อนเธอปลุกเธอเองแหละ ครูเกรงว่าการฟุบหลับของเธอในตอนนี้ อาจส่งผลทำให้คืนนี้ เธออาจจะนอนไม่หลับก็ได้นะ ครูเป็นห่วงน่ะ (ยิ้มอ่อน) อีกอย่างตอนนี้เหลือเธอคนเดียวที่ยังไม่ได้ตอบคำถามในชั่วโมงนี้ คงไม่รู้สินะว่าครูถามว่าอะไร ?" (หรี่ตาเล็กน้อยอย่างครูที่รู้ทันลูกศิษย์)
เติ้ล: "เอ่อออ..คือออ..หนูขอโทษค่ะครู หนูพยายามจะตั้งใจฟังนะคะ แต่พอดีหลายวันที่ผ่านมา หนูทำงานพิเศษเลิกดึกอะค่ะ หนูก็เลยเพลียๆ นี่ก็ฟุบหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ แหะๆ" (ยิ้มแห้งๆพร้อมเกาหัวแกร่กๆ อย่างคนสำนึกผิดแบบอายๆ)
ครูแนะแนว: "ครูไม่รู้นะว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงหรือข้ออ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อการเรียนรู้ในห้องเรียนซะ แล้วชีวิตเธอจะไม่พลาดอะไรดีๆ ที่สำคัญ..ดูแลตัวเองและแบ่งเวลาให้ดี" :) (ยิ้มอย่างเข้าใจตามประสาครูแนะแนวที่มีจิตวิทยาสูง)
เติ้ล: "ค่ะครู หนูจะพยายามค่ะ เอ่อ..ว่าแต่ครูถามว่าอะไรหรอคะ? แหะๆ"
ครูแนะแนว: (ส่ายหน้าและทำตาดุเล็กน้อย) "ฟังดีๆนะ ครูจะพูดรอบเดียว ครูถามว่า 'อนาคต..โตขึ้นอยากเป็นอะไร?' "
เติ้ล: ....???? (คิดๆๆๆ นึกๆๆๆ เป็นไรดีว้า????)
         
          เติ้ลใช้ความคิดอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจตอบออกไป โดยที่ทุกคนคิดไม่ถึงกับคำตอบนี้ เป็นคำตอบที่ทำให้เพื่อนๆในห้องต้องหัวเราะน้ำตาเล็ดกะปริบกะปรอย และทำให้ครูแนะแนวต้องอ้าปากค้างกับความคิดของลูกศิษย์ตัวแสบคนนี้

ครูแนะแนว: "ที่เธอคิดนานนี่เป็นเพราะอนาคตเธอมีหลายอย่างที่อยากเป็น หรือว่าไม่มีเลย ?"
เติ้ล: "มีค่ะ โตขึ้นหนูอยากเป็น 'เด็ก' ค่ะ" ^______^
เพื่อนๆในห้อง: "ฮ่าาาาาาๆๆๆๆๆ ก๊ากกกกกกๆๆๆๆๆ 5555555555555555555555"
ครูแนะแนว: !@#$%^&*+=฿!! (สบถในใจตัวเอง นี่ลูกศิษย์ฉันมันเพี้ยน หรือฉันสอนนักเรียนไม่รู้เรื่องเนี่ย อกอีแป้นจะแตกสาแหรกขาด เห้อออออ T^T)


'เติ้ล'..เด็กผู้หญิงดื้อเงียบ (วัยเริ่มจะสาว ย่างเข้า 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ)
ที่มีความคิด "โตขึ้นอยากเป็นเด็ก"


          "โตขึ้นหนูอยากเป็นเด็กค่ะ" เป็นคำตอบที่นักเรียนหญิงผมสั้น ลุคสาวห้าววัย 15 ปี ที่เริ่มจะเป็นสาว เธอเรียนดี กิจกรรมเด่น เป็นถึงนักกีฬาบาสสุดเท่ของโรงเรียน แถมเป็นเด็กเต้นโคฟเวอร์ มีดีกรีเป็นกลุ่มตัวแทนที่ทางโรงเรียนส่งไปประกวดข้างนอก ความเท่และความเฟรนลี่ขี้เล่น (แต่ไม่เล่นขี้) ของเธอ ทำให้เธอมีทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ตามกรี้ดสมัครเป็นแฟนคลับ (ช่วยไม่ได้ ก็คนมันหน้าตาดีมีเสน่ห์ โฮะๆๆๆ ^0^) แต่ทว่าความเป็นเด็กดื้อเงียบ แสบซ่า ท้าทายฝ่ายปกครอง ด้วยการทำผมผิดระเบียบอยู่ทุกปี ทำให้เธอถูกครูฝ่ายปกครองเพ่งเล็ง หนักสุดก็โดนเรียกผู้ปกครอง ทำให้เธอโดนแม่ตำหนิและว่าเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ เพราะเธอดันทำให้แม่ต้องอับอายขายขี้หน้า! เธอไม่ตอบโต้เถียงอะไร ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด แต่ในจิตใจส่วนลึกนั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อยากจะอธิบายเหตุผล และระบายความรู้สึกให้คนในครอบครัวได้เข้าใจ แต่กลับไม่มีใครเปิดใจรับฟัง หลายๆปัญหาทั้งภายนอกและภายในจิตใจ ได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ ด้วยความเป็นเด็ก (เริ่มจะ) สาววัย 15 ปี ที่ต้องใช้ชีวิตเกือบจะด้วยตัวเองทั้งหมด เนื่องจากเธอเป็นลูกคนโต (มีน้องชายหนึ่งคนที่ห่างกัน 7 ปี) พ่อแม่แยกทางกันด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ ที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่ใช่เรื่องของเด็ก" (แต่เด็กอย่างเรารับรู้และเข้าใจมาโดยตลอด)

          หลังจากที่แม่..บุคคลที่เป็นทุกอย่างของเธอ ได้ตัดสินใจแยกทางกับพ่อที่ขี้เหล้า เอาแต่อาละวาด ทำร้ายร่างกายแม่ ทำลายจิตใจลูก โดยแม่ได้ไปรักษาแผลกายและใจ พร้อมกับหาทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิม โดยได้ทิ้ง..ไม่สิ เรียกว่าได้ปล่อยให้เธอได้ก้าวเข้าไปในโลกแห่งความจริงก่อนใครในวัยเดียวกัน และเผชิญหน้ากับปัญหาภาระที่เธอต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบในหลายๆอย่าง ฐานะปานกลาง พอมีพอกิน แต่หนี้สินก็พอตัว เธออาศัยอยู่กับพ่อขี้เหล้า ที่เวลาเมาจะชอบทำตัวหน้าใหญ่ แจกจ่ายเงินเลี้ยงมิตรสหาย บ่อยๆก็อาละวาด ทำลายข้าวของ หนักสุดๆก็คงเป็นการทำร้ายร่างกายแม่ ให้เธอได้เห็นบ่อยๆ เผลอๆการที่เธอเข้าไปช่วยแม่ ก็พาลโดนลูกหลงไปด้วย ตอนเด็กมากๆ (วัยที่รู้เรื่องแต่ไม่ค่อยรู้ราว) เธอเคยร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว พร้อมโทรไปแจ้งตำรวจ ให้มาจับพ่อตัวเอง ในข้อหาทำแม่หนูเลือดออกไปทั้งหน้า! ตำรวจคงตกใจมากกับเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้สะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ แต่ที่น่าขำก็คงจะเป็นข้อหาที่เธอโทรมาแจ้ง 'ลูกโทรแจ้งจับพ่อตัวเอง' ใช่..อ่านไม่ผิดหรอก และคงไม่มีใครเข้าใจกับสถานการณ์นั้นที่เด็กน้อยอย่างเธอพบเจอ แต่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จบที่ว่า 'มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว' ค่ะ..ตามนั้น

          เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้กลัวพ่อตัวเอง ขนาดที่แทบจะวิ่งหนีขึ้นห้องตัวเองยามพบสบตา หรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงพ่อ อย่าว่าแต่จะพูดคุยปรึกษาอะไรเลยจริงๆ วันไหนที่พ่อไม่กินเหล้า ไม่เมา ไม่อาละวาด (คงเป็นวันที่เงินหมดละมั้ง) วันนั้นพ่อลูกจึงจะมีเวลาได้สบตาอ้าปากพูดคุย ดีหน่อยก็นั่งกินข้าวด้วยกัน ในความคิดเธอ..เธอรู้ว่าพ่อเธอเป็นพ่อที่ดี (แต่อาจไม่ใช่สามีที่ดีสักเท่าไหร่ในสายตาภรรยา) เวลาเหล้าไม่เข้าปาก เบียร์ไม่ตกถึงท้อง เหล้าดองไม่เข้าสู่กระแสเลือด พ่อเธอน่ารักมาก เป็นผู้ชายอบอุ่นที่ชอบเข้าครัวทำอาหารให้ลูกทาน ชอบรดน้ำต้นไม้ ชอบซื้อของเล่นให้ลูก ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆให้เป็นของเล่น (ถ้าของเล่นที่ลูกอยากได้มันจะแพงเกินไป อย่างเช่น กลองชุด เธออยากได้มันมาก จนพ่อต้องลงทุนประดิษฐ์กลองชุดมินิสไตล์กล่องลัง กะละมัง ถัง หม้อ ฝาหม้อ พ่อเธอก็ลงทุนตอกตะปู เสกของเหลือใช้ในบ้าน ให้กลายเป็น 'กลองชุดแบบโฮมเมด' และเธอก็รักเจ้ากลองชุดที่สร้างด้วยน้ำมือของพ่อตัวเองมาก) ใช่..พ่อเธอน่ารักเวลาที่ไม่เมา เธอไม่เคยโทษพ่อเธอเลย (แม้บางครั้งจะนึกโกรธโมโหก็ตาม) แต่เธอโทษไอ้น้ำเมาที่เปลี่ยนนิสัยพ่อตัวเอง เธอจำได้ในวัยเด็กอนุบาล เธอเคยขอให้พ่อเธอเลิกเหล้าในวันพ่อ พ่อรับปากว่าจะเลิก เธอยิ้มดีใจแล้วเข้าไปกอดพ่อ แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อเธอยังคงเห็นพ่อกินเหล้าเมาแทบทุกวัน พ่อเคยบอกเธอว่า..พ่อพยายามแล้ว แต่มันทรมานเหมือนจะตาย พ่อขาดมันไม่ได้ พ่อต้องกิน แต่พ่อจะพยายามกินให้น้อยลงนะ เธอสงสารพ่อและเห็นใจว่ามันคงจะทรมานร่างกายพ่อมาก เพราะพ่อทั้งไอ อาเจียน กินอะไรไม่ได้ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย หน้าแดง ตัวแดง มือสั่น (อาการคล้ายๆคนลงแดง เพราะพ่อเป็นหนักถึงขั้นโรคแอลกอฮอลลิซึ่ม) ใช่..เธอเห็นใจ แต่เธอไม่อยากจะเข้าใจ ยังคงอยากให้พ่อเธอเลิกเหล้า และความแสบของเธอนั้น ก็ทำให้พ่อได้ดื่มด่ำกับรสชาติเหล้าตัวใหม่ที่ปรุงและหมักด้วยฝีมือลูกสาวตัวเอง เธอผสมทั้งน้ำปลา+น้ำส้มสายชู+เป๊ปซี่+น้ำตาล+พริก ลงในขวดเหล้ายี่ห้อ 'แสงโซม' คนๆ เขย่าๆ เชรคๆ จนได้ที่ แล้วเอาเหล้าตัวจริงเสียงจริงทั้งหมดไปเททิ้ง! เป็นไปตามคาด พ่อเธอเข็ดกับเหล้าตัวใหม่ไปหลายวัน แต่ก็แค่ชั่วคราวกับคนที่ติดเหล้าขั้นหนัก จนเธอเองก็จนปัญญา เลยปล่อยไปแบบเอาที่พ่อสบายใจ และทำใจรับชะตากรรมต่อไป...

         5 ธันวาคม 'วันพ่อแห่งชาติ' วันที่เธอได้ทำอะไรให้พ่อทุกๆปี ตอนเด็กๆวัยอนุบาล..เธอเดินเข้าไปกอดและหอมแก้มพ่อสองฟอดแน่ะ วัยประถม..เธอก็วาดรูปพ่อเธอหัวหยอยๆ (พ่อเธอผมหยิกน่ะ) จับมือแม่กับเธอไว้ พร้อมให้นมตราหมีกระป๋อง วัยมัธยม..เธอก็เขียนเรียงความส่งเข้าประกวดที่โรงเรียน ได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมเอาเรียงความและรางวัลนั้นไปให้พ่อเธอได้ชื่นชม ก้มลงกราบพร้อมพวงมาลัย วัยมหาลัย..เธออัดคลิปร้องเพลงที่แต่งเอง ส่งไปให้พ่อได้ฟัง เธอไม่สามารถกลับไปหาพ่อได้ เพราะเธอต้องเรียนและทำงานไปด้วยที่มหาลัย จนมาถึงวันพ่อแห่งชาติ..ที่อาจเป็นวันพ่อสุดท้ายของพ่อเธอ

ภาพวาดฝีมือเด็กประถมอย่าง 'เติ้ล' ที่ตั้งใจวาดให้เป็นของขวัญวันพ่อ


          วันพ่อในปีสุดท้ายที่เธอเรียนจบ เธอกับน้องชายตั้งใจไว้ว่าจะเอาพวงมาลัยไปกราบไหว้พ่อ พร้อมใจกันใส่เสื้อสีเหลืองเพื่อถวายแด่ในหลวง เธอกับน้องชายถือพวงมาลัยคนละหนึ่งพวง เมื่อทั้งสองได้พบกับพ่อ พ่อ..ที่วันนี้ร่างกายซูบผอม ทรุดโทรม เรี่ยวแรงแทบไม่มี เนื่องจากโดนโรคพิษสุราเรื้อรังและตับแข็งทำลาย พ่อ..ที่สายตาเต็มไปด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูกทั้งสองอีกครั้ง เธอกับน้องคลานเอาพวงมาลัยไปไหว้ตักพ่อ พ่อนิ่งไปสักพัก พร้อมพูดให้พรว่า..

พ่อ: "ป๊ารู้..เดี๋ยวป๊าก็ไม่อยู่แล้ว ป๊าดีใจนะที่เห็นสองพี่น้องรักกัน ป๊าขอให้ลูกทั้งสองมีชีวิตที่ดี มีอนาคตที่สดใส อย่าได้มีชีวิตแบบป๊าเลย ป๊าขอบคุณนะที่ยังนึกถึงป๊า และป๊าขอโทษที่เป็นพ่อที่ไม่ดี" (พ่อพูดเสียงสั่น พยายามข่มน้ำตาเอาไว้)
เติ้ล: "ป๊าอย่าพูดแบบนี้สิ ยังไงป๊าก็เป็นพ่อของหนู หนูเองก็เคยทำไม่ดีกับป๊าไว้เยอะ หนูขอโทษนะ และตอนนี้หนูก็ไม่ถือโทษโกรธป๊าแล้ว ป๊าเป็นป๊าที่น่ารักนะ ไอ้เหล้าน้ำดำต่างหาก ที่มันทำให้ป๊าเป็นแบบนี้ ป๊าไม่ต้องห่วงนะ หนูจะดูแลน้องให้ดี จะพยายามหาทางรักษาป๊า และจะเป็นเสาหลักของครอบครัวให้ได้ ป๊าก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะคะ" (พูดเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา)
          และในวันพ่อปีนี้ เธอตั้งจิตไว้ว่าจะไปบวชชีถือศีล 8 ที่วัด เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เพื่อเป็นบุญกุศลแก่พ่อแม่ ครอบครัว ตัวเอง รวมไปถึงพระเจ้าอยู่หัว และบุญกุศลที่เธอได้พึงกระทำด้วยความตั้งใจนั้น บันดาลให้พ่อของเธอนอนตายตาหลับ ลาลับจากโลกนี้ไปอย่างสงบ โดยที่เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเร็วเช่นนี้ ไม่คิดว่าคำพูดสุดท้ายที่พ่อได้พูดเป็นลางนั้น มันจะเป็นจริงในวันที่เธอเองตั้งใจภาวนาจิตให้พ่อของเธอหายป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่กลายเป็นว่าการภาวนาจิตในครั้งนี้ นำพาดวงวิญญาณของพ่อพ้นทุกข์ไปสู่สุคติ และเธอก็ได้อโหสิกรรมแล้วต่อกัน...

          การจากไปของคนในครอบครัวเติ้ล ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง กับความสูญเสียอย่างกระทันหัน ที่มันทำให้เธอหวนรำลึกนึกย้อนไปถึงอีกบุคคลนึง ซึ่งการจากไปยิ่งกว่ากระทันหัน แต่มันผิดจังหวะมาก! บุคคลนี้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าทางจิตใจ แล้วเธอก็รักสุดหัวใจ บุคคลที่ทำให้เธอเรียนรู้ที่จะดูแลคนในครอบครัวด้วยหัวใจ

          กล่องความทรงจำสีเทาๆที่เขรอะฝุ่นนั้น ได้นำพาให้เธอได้เห็นภาพที่เธอไม่มีวันลืม...
'ภาพการจากไปของคุณย่า ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงนอน ด้วยใบหน้าที่มี..รอยยิ้ม'


'เติ้ล'..ผู้โดดเดี่ยว
 
         
ทิ้งทวนชวนติดตามตอน 2: ชีวิตผิดจังหวะ..ที่ขาดความสมบูรณ์ของครอบครัว ชีวิตผิดจังหวะ..ที่เต็มไปด้วยปัญหาและชะตากรรมแสนทารุณจิตใจ ชีวิตผิดจังหวะ..ที่หนีไม่พ้นการสูญเสีย ชีวิตผิดจังหวะ..ที่ต้องก้าวเข้าสู่โลกแห่งความจริงก่อนวัย 'เติ้ล'..จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร? เธอจะต้องพบเจอกับอะไร? เธอจะมีช่วงชีวิตที่ถูกจังหวะบ้างไหม? อะไรที่ทำให้เธอตอบคำถามครูแนะแนวไปแบบนั้น? (ถ้าจำไม่ได้ก็ย้อนกลับไปอ่านชื่อตอนนะคะ) สุดท้ายนี้..เธอไม่เคยมองว่าครอบครัวเธอผิด :)

หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ (สมมติว่าอยากแต่งนิยายสักเรื่องเกี่ยวกับ 'เด็กเก็บกด' ที่มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ)

คำเตือน!: อ่านให้ถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลา ถูกอารมณ์ ถูกชีวิต และถูกจังหวะ (ถูกใจด้วยก็ดีนะ)

ผู้แต่ง: ตะวัน ซันชายน์
         

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กับความเหงา..เราเอาอยู่ (6 วิธีคลายเหงาด้วยตัวเราเอง)

เพลง..เหงา (ลิปตา ft. คิว-ฟลัวร์)


"เหมือนฉันนั้นไม่มีใคร เหมือนใช้ชีวิตลำพังบนโลกใบนี้
ไม่ทุกข์และก็ไม่สุข แต่ละวันก็แค่ผ่านไป
ชีวิตยังเดินไปได้ แต่ว่ามันไม่มีความหมายใด
ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ที่ฉันจะได้เริ่มใหม่สักที
อาจดูไม่เป็นไร แต่ความจริงข้างใน จะมีใครบ้างไหมที่จะเข้าใจ
มันช่างเหงาเหลือเกิน มันอ้างว้างเหลือเกิน..."

          หากมีคนถามว่าเวลานี้เพลงไหนที่โดนใจและตรงชีวิตจริงที่สุด ก็ขอยกให้กับเพลง "เหงา" ของลิปตา ที่มีเนื้อหาพาให้คนเหงาๆอย่างเราฟังแล้วรู้สึกตะเตือนไต (สะเทือนใจ) ยิ่งเวลากลางคืนที่เงียบสงบ ฝนตกเบาๆ มีแค่ตัวเราในมุมเล็กๆ บรรยากาศเหล่านี้ก็ส่งผลให้ความเหงาเข้ามาทำงานในหัวใจคนโสดสนิทศิษย์ส่ายหน้าหนักมากอย่างเรา มีอันต้องน้ำตาตกในไหลย้อนเข้าสู่สี่ห้องหัวใจ เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียงใดๆ นอกจาก..เหงา เหงา เหงานะ เหงาจัง เหงาจริง เหงาโว้ย (ถ้าย่อหน้านี้จะดูเวิ่นเว้อไปบ้างก็ขออภัย เพราะขณะที่เขียนบล็อกนี้ ผู้เขียนกำลังโดนความเหงาเข้าจู่โจม แต่กำลังต่อสู้กับมันด้วยการเขียนบทความนี้)

เหงาแค่ไหน..ใครเลยจะเข้าใจ
          ความเหงาเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ที่มีหัวใจทุกคน ไม่ว่าจะคนรวยหรือจน คนโสดหรือคนมีแฟน คนมีเพื่อนมากหรือน้อย ไม่ว่าตอนนี้จะอยู่คนเดียวอย่างสันโดษหรืออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทุกคนมีสิทธิเหงาได้ ไม่มีใครเกิดมาไม่เคยพบเจอความเหงา หากเราแบ่งความเหงาออกเป็นทฤษฎีต่างๆจากหลายๆแขนงนั้น ผู้เขียนขอแบ่งเป็น 3 แขนง

1. ความเหงาทาง "จิตวิทยา" เป็นความรู้สึกส่วนเกิน เกิดจากสถานะทางความรู้สึกและอารมณ์ของบุคคลที่มีระดับความไม่พึงพอใจต่อความสัมพันธ์ทางสังคม (ทั้งจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต) ซึ่งส่งผลต่อการแยกตัวจากสังคมในที่สุด รวมทั้งภาวะความเหงา (loneliness) อันเป็นผลมาจากการขาดรูปแบบของความสัมพันธ์ภายใน 6 ลักษณะ ดังนี้
          1. ความรู้สึกปลอดภัยในการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม (Attachments)
          2. การมีเครือข่ายความสัมพันธ์ในสังคม ทั้งจากครอบครัวหรือเพื่อน (Social Integration)
          3. ความรู้สึกรับผิดชอบต่อการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม (Opportunity for Nurturance)
          4. การได้รับการยอมรับในทักษะหรือความสามารถของบุคคล (Reassurance of Worth)
          5. การได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นในสังคม (Reliable Alliance)
          6. การได้รับคำแนะนำปรึกษาจากบุคคลอื่นในสังคม (Guidance)
(นิยามความเหงาทาง "จิตวิทยา" โดย "Robert Weiss")
2. ความเหงาทาง "วิทยาศาสตร์" เกิดจากฮอร์โมน "cortisol" เป็นฮอร์โมนในสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์หดหู่ที่ผลิตขึ้นจากต่อมหมวกไต หากเรากำลังรู้สึกเหงา เครียด กดดัน แสดงว่าเจ้าฮอร์โมนตัวนี้ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาทำงานอย่างหนัก
3. ความเหงาทาง "ธรรมมะ" เป็นความปรุงแต่งของจิตและการคิดไปเอง เปรียบได้กับความหดหู่และความฟุ้งซ่าน ซึ่งมาจากสาเหตุหลักคือขาดความรู้สึกตระหนักในคุณค่าของตนเอง
ความเหงา..ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้

          การยอมรับว่าตัวเองกำลัง "เหงา" ไม่ใช่เรื่องผิดและน่าอายเลยสักนิด และคนขี้เหงาก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะอ่อนแอเสมอไป มนุษย์เราแสดงออกทางความเหงาได้หลากหลายรูปแบบ

1. บอกออกไปตรงๆว่า "ฉันเหงาจังเลย" อาจสื่อสารผ่านทางการโพสต์สเตตัสบนเฟสบุค หรือแสดงออกทางโซเชียล หรือเขียนระบายลงในไดอารี่/บล็อก

2. บึ้งตึง ขึงขัง ก้าวร้าว หงุดหงิดพาลใส่คนอื่น

3. เก็บตัว ปลีกวิเวก แยกตัวจากสังคม

4. สร้างภาพว่าตัวเองมีความสุข สนุกสนาน ทำงานเยอะ ไม่มีเวลาจะเหงาหรอก แต่ในส่วนลึกหัวใจนั้น "เหงามาก"

5. มีอารมณ์ขัน สรรสร้างมุขตลก พยายามเป็นตัวโจ๊กของเพื่อนๆ เพื่อให้ตัวเองลืมความเหงา

6. ซึมเศร้า เหงาหงอย ปล่อยตัว คิดแต่ว่าตัวเองต่ำต้อย ด้อยค่า ไม่มีใครมารักหรือสนใจ 

7. ติดเหล้า บุหรี่ เที่ยวกลางคืน เพื่อปลดปล่อยอารมณ์เหงา โดยเป็นบ่อเกิดแห่งการทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง

8. มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ส่งเสียงดัง ฟังเพลงดังๆ แต่งตัวแปลกๆ เรียกร้องความสนใจ


ความเหงาค่อยๆกัดกินหัวใจเรา ทำให้เรามองไม่เห็นค่า คิดแต่ว่าไม่มีใครต้องการเรา

          หากเราทำความรู้จักกับเพื่อนที่ชื่อว่า "ความเหงา" เรียนรู้ถึงที่มาสาเหตุของเพื่อนคนนี้ และพบเจอมันเข้ามาทักทายในชีวิตเราบ่อยๆ เราคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อออกห่างจากเพื่อนคนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี แต่ถ้าอยู่กับเรานานๆ มันจะพาลดึงชีวิตเราให้จมดิ่งสู่ความมืดมนอย่างคนที่ไม่เห็นค่าในตัวเอง ดังนั้นผู้เขียนจึงรวบรวมวิธีการเอาชนะความเหงา และประสบการณ์การต่อสู้กับความเหงาด้วยตนเอง เพื่อแบ่งปันและเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับเจ้าอารมณ์เหงานี้

1. หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เต้น เล่นเกม เล่นกีฬา ทำงานบ้าน วาดรูป ถ่ายรูป เขียนไดอารี่ เขียนบล็อกแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ (เป็นวิธีที่ทำให้ผู้เขียนคลายเหงาได้ดีเลยแหละ ตอนแรกก็เหงาๆ เขียนไปเขียนมา เอ้า..โบกมือลาความเหงาเลยละกัน รีบไปซะละ บ๊ายบายนะ อิอิ)

2. หาคนพูดคุยด้วยแล้วสบายใจ สามารถระบายความอัดอั้นตันใจได้ อย่าเก็บทุกสิ่งไว้คนเดียว เชื่อว่าต้องมีสักคนที่เขายินดีที่จะรับฟัง และอาจจะก่อเกิดกำลังใจดีๆ แต่ถ้าหากเราไม่พูด เก็บทุกอย่างไว้ ก็คงไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดเราได้ อย่ากลัวว่าเขาจะมองว่าเราอ่อนแอหรือน่ารำคาญ จำไว้ว่า..ทุกคนเกิดมาต้องเคยพบเจอกับเพื่อนที่ชื่อว่า "ความเหงา"

3. การทำงานอาสาสมัคร ทำค่าย การอุทิศตนทำความดีหรือช่วยเหลือผู้อื่น จะช่วยยกระดับทางอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นการสร้างเครือข่ายที่จะทำให้คุณได้รู้จักกับคนดีๆ ที่อาจมีชีวิตหรือแนวคิดเดียวกัน ทำให้คุณได้เปิดโลกใหม่และมีเพื่อนใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ความเหงาที่คุณต้องเผชิญลดน้อยลง

4. เข้าทางธรรม ด้วยการเข้าวัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังเทศนา ระลึกสติให้อยู่กับตัวเอง

5. พยายามนึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้เรายิ้มได้และมีความสุข คิดถึงสิ่งดีๆที่เราได้เคยทำไว้ หาความภาคภูมิใจในตนเองให้เจอ บอกกับตัวเองเสมอว่า "เราจะทำให้ตัวเองมีคุณค่า" และบอกรักตัวเองในทุกๆวัน "เรารักตัวเรานะ ใครไม่รัก ใครไม่แคร์ แต่เราแคร์ความรู้สึกเรานะ" 

6. หากทำทุกหนทางก็ไม่อาจหยุดยั้งเจ้าความเหงานี้ได้ ก็ลองอยู่คนเดียวในความเงียบ คิดทบทวนตัวเอง รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับความเหงาแบบสุดๆ เมื่อมันเหงาจนถึงที่สุด พอถึงเวลาความรู้สึกนี้มันก็จะหยุดและหายไปเอง และถ้าเราควบคุมความเหงาในใจตนเองได้ด้วยตัวเองนั้น เท่ากับว่าเราได้สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่หัวใจเรามากขึ้น หากความเหงามาเยือนในครั้งหน้า เราก็จะรู้ท่าไม้ตายที่จะใช้สยบเจ้าความเหงานี้ได้


ก็แค่อารมณ์เหงา
กับความเหงา เราเอาอยู่ ;)

          ทิ้งทวนชวนไม่เหงา: ถ้าเมื่อไหร่ที่คนเรานึกอยากทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยทำ แล้วคิดว่ามันดีต่อตัวเราและคนอื่นๆ ได้ท้าทายตัวเองด้วยการลงมือทำตั้งแต่วันนี้ นั่นคือ การเริ่มต้นยุติความเหงา เป็นจุดเริ่มต้นของความมีชีวิตชีวา และเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวเอง อย่างที่ผู้เขียนได้เริ่มยุติความเหงา และสร้างตัวเราให้มีคุณค่าด้วยการ "เป็นนักเขียนบล็อก แบ่งปันบทความและเรื่องราวดีๆแก่ผู้อ่าน" แล้วคุณละ..จะเริ่มยุติความเหงาด้วยวิธีไหนดีเอ่ย?

เรียบเรียงบทความโดย: ตะวัน ซันชายน์

ขอบคุณแหล่งข้อมูลที่จุดประกายความคิดดีๆที่ช่วยรักษาความเหงา
"รูปแบบของความเหงา" โดย น.ส.ยุวพร พลรักษ์ (นักจิตวิทยา)

รีวิวหนังสือ "a day Story Comic" (คู่มือเด็กดื้อฉบับการ์ตูน)



ชื่อหนังสือ: a day Story Comic (คู่มือเด็กดื้อฉบับการ์ตูน)
ผู้เขียน/ผู้วาดภาพ: พิรักษ์ โมราถบ (โน้ต)
สำนักพิมพ์: a book (บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด)
ปีที่พิมพ์: พ.ศ. 2556
จำนวนหน้า: 304 หน้า (พร้อมภาพการ์ตูนลายเส้น)
ราคา: 355 บาท
ประเภทหนังสือ: Comic (การ์ตูนลายเส้น)


          นี่คือเรื่องราวที่เป็นเหมือนตำนานของการเกิดนิตยสาร ที่เปลี่ยนชีวิตวัยรุ่นจำนวนหนึ่งของเมืองไทยไปตลอดกาล นิตยสารที่ว่านี้คือ "a day" โดยมีผู้ก่อตั้งเป็นชายหนุ่ม ผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันและจุดประกายไฟแห่งแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคน โดยเฉพาะวัยรุ่นในยุคปัจจุบันที่มีหลากหลายความฝัน ใช่แล้วค่ะ เรากำลังพูดถึง "โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์" และ "ปอง-นิติพัฒน์ สุขสวย"

          คู่มือเด็กดื้อฉบับการ์ตูนลายเส้นเล่มนี้ ถูกเลือกเป็นหนึ่งใน 10 เล่ม ที่สำนักพิมพ์ a book อยากจะขอบคุณผู้อ่าน ในโอกาสสำนักพิมพ์มีอายุครบ 10 ปี และได้เลือก "พิรักษ์ โมราถบ (โน้ต)" นักวาดการ์ตูนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่เคยร่วมงานกับบริษัทมาแล้วหลายครั้ง ทั้งการวาดการ์ตูนและภาพประกอบในหนังสือ หรือการวาดการ์ตูนให้กับรายการ "The Idol คนบันดาลใจ" รายการโทรทัศน์รุ่นบุกเบิกของ a day TV

          โน้ต-พิรักษ์ เป็นเหมือนผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้คัดเลือกนักแสดง เขาเล่า "ตำนาน a day" ด้วยลายเส้นในแบบตัวเอง เรื่องราวที่ถูกเล่าขานจากปากของ "โหน่ง-วงศ์ทนง" (ตลอดจนผู้อ่านและสื่อมวลชน) กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ผสมกับลูกเล่น อารมณ์ขัน และความสะเทือนอารมณ์ในแบบ feel good ที่โน้ต-พิรักษ์ ปรุงแต่งอย่างลงตัว




เนื้อเรื่องโดยย่อ

          เรื่องราวของ "โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์" ชายหนุ่มผู้เคยฝันอยากเรียนได้เกียรตินิยม แต่กลับไม่เป็นดั่งฝัน และเคยมีอาชีพว่างงานมาก่อน จนเขาค่อยๆค้นพบตัวเองว่าชอบอ่านหนังสือและอยากทำหนังสือ จึงสมัครเข้าทำงานในสำนักพิมพ์นิตยสาร แต่เขาก็ได้เจออุปสรรคต่างๆนาๆ ทำให้เขาต้องลาออกและเปลี่ยนงานอยู่หลายที่ แต่แล้ววันหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตเขาก็มาถึง ด้วยความที่เขาเป็นคนมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับการทำหนังสือ เขาจึงได้เป็น บก. ด้วยวัยเพียง 26 ปี (ซึ่งเป็น บก. ที่หนุ่มมากในเวลานั้น) เขาได้มีโอกาสเขียนบทสัมภาษณ์ "โน้ต อุดม" ลงในนิตยสาร และนั่นทำให้เขาได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งโน้ต-อุดมได้จุดประกายความคิดอันแรงกล้าในการก่อตั้งนิตยสารของเขา แต่ทว่าเศรษฐกิจและเงินทุนที่มีไม่เพียงพอ ทำให้เขาต้องหาวิธีแก้ปัญหาและเผชิญหน้ากับความล้มเหลวในหลายๆครั้ง ด้วยความที่เขาไม่หยุดยั้ง บวกกับได้เพื่อนร่วมงานที่ดีมีไฟไม่ต่างจากเขา ช่างภาพคู่หูคนนี้ที่เคยทำฟิล์มเสียทั้งม้วน แต่ปัจจุบันเขาคือช่างภาพมืออาชีพที่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของโหน่ง ช่างภาพที่ชื่อ "ปอง-นิติพัฒน์ สุขสวย" มิตรภาพของคนมีไฟทั้งคู่ และลูกทีมคนเก่งของเขา ได้นำพาให้เมืองไทยเรามีนิตยสารชื่อดังที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยอย่างนิตยสาร " a day" 


พี่โหน่งกับพี่ปองในมาดการ์ตูนลายเส้นก็หล่อเฟี้ยวไม่แพ้ตัวจริงเลยนะเนี่ย

          หนังสือการ์ตูนเล่มนี้มีสีสันหน้าปกที่สะดุดตามาก (สีเหลือง) บวกกับภาพการ์ตูนลายเส้นที่อ่านแล้วเหมือนการ์ตูนมีชีวิตจริงๆ ผู้เขียนได้สร้างเอกลักษณ์และคาแรคเตอร์ตัวละครได้เสมือนจริง (โดยเฉพาะพี่โน้ต-อุดม จมูกเหมือนมาก ไม่บอกชื่อก็รู้ว่าใคร 5555) สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนแนว comic หรือนักอ่านมือใหม่ที่เพิ่งอ่านเป็นครั้งแรก อาจจะงงๆกับการจัดวางบทสนทนาของตัวละคร กับบทบรรยายของผู้เขียน ที่อาจจะอ่านสลับไปมาจนเกิดความสับสนในเรื่องราว หากสังเกตดีๆ ข้อความในกรอบสี่เหลี่ยมคือ "บทบรรยาย" ข้อความในวงกลมคือ "บทสนทนา" แต่สำหรับคนรักการ์ตูน comic คงจะถูกใจไม่น้อยสำหรับหนังสือการ์ตูนลายเส้นเล่มนี้ ขอบอกว่าอ่านเพลินมาก เหมาะสำหรับคนที่ชอบอ่านการ์ตูน หรือคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือที่มีตัวหนังสือเยอะๆ หรือคนที่อยากอ่านการ์ตูนที่แฝงแรงบันดาลใจ อ่านจบแล้วได้สาระไปพร้อมๆกับความเพลิดเพลิน เด็กอ่านได้ความสนุก วัยรุ่นอ่านได้แรงบันดาลใจ ผู้ใหญ่อ่านได้คิดทบทวนตัวเอง ขอแนะนำว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่อยากได้แรงบันดาลใจค่ะ


อ่านเพลินจนวางไม่ลง

ทั้งซึ้ง ทั้งตลก ทั้งสนุก มุขขำขันก็มีนะ

          หนังสือการ์ตูนเล่มนี้อ่านแล้วให้อะไรบ้าง? โห..มันให้เยอะเลยนะ แน่นอนละว่าให้ความสนุกเพลิดเพลิน มุขตลกขำขันที่คลายความเครียด อ่านแล้วยิ้มอ่อนโดยไม่รู้ตัว ให้จินตนาการ สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกไฟแห่งความฝันในตัวเรา เร้าอารมณ์ความกล้าที่จะลงมือทำตามความฝัน ได้นั่งคิดทบทวนตัวเอง และได้ในสิ่งที่เรื่องราวในหนังสือต้องการจะให้ คือได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของ "โหน่ง-วงศ์ทนง" และการก่อตั้งนิตยสาร "a day" 


"a day story comic" หนังสือการ์ตูนของเด็กแนว

"พี่โหน่ง-วงศ์ทนง"
ไอดอลที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักอ่าน และนัก(อยาก)เขียนอย่างเรา

          ทิ้งทวนชวนอ่าน: หากใครเป็นแฟนคลับคุณ "โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์" และสาวกนิตยสาร "a day" นี่เป็นหนังสือการ์ตูนอีกหนึ่งเล่ม ที่คุณจะต้องมีมันอยู่ในมือ สำหรับใครที่อยากได้แรงบันดาลใจและไอเดียดีๆ หนังสือการ์ตูนเล่มนี้มีสิ่งเหล่านั้น และมันพร้อมจะมอบให้คุณผู้อ่าน เพียงแค่คุณเปิดใจและใช้การลงทุนด้วยเวลา เปิดอ่านเรื่องราวทีละหน้าด้วยสายตา สมาธิ และหัวใจ เมื่อหน้าสุดท้ายจบลง เมื่อคุณปิดหนังสือเล่มนี้ เราเชื่อว่า..แรงบันดาลใจและไอเดียดีๆจะโลดแล่นอยู่ในหัวคุณ และอาจทำให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อเข้าใกล้ความฝันคุณให้มากขึ้น ขอให้คุณหยิบเอาวัตถุดิบดีๆจากตัวหนังสือใส่เข้าไปในสมองของคุณ และขอให้มีความสุขกับการอ่านหนังสือค่ะ 

ติดตามข่าวสารของนิตยสาร a day ได้ที่เว็บไซต์ daypoets/a day และเฟสบุค a day magazine

บทความรีวิวโดย: ตะวัน ซันชายน์ 

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อช่างภาพหัวครีเอทีฟ เสกให้ตัวต่อเลโก้ (Lego) มีชีวิต!


หยุดนะไอ้หน้าแมว! ถ้าเจ้าคิดจะกินเจ้านายข้า เจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน!

โอ๊ยยยย! ถึงข้าจะเป็นแค่ตัวต่อเล็กจิ๋วนามว่า "Lego" แต่ข้าก็เจ็บเป็นนะ
เอาเท้าเน่าๆของเจ้าออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้!


ต่อให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ต่อให้น้ำท่วมโลก เลโก้จิ๋วอย่างเราก็เอาตัวรอดได้
พายเรื่อยๆจนกว่าจะถึงดาวอังคาร เอ้า! ฮึบ!! ฮุ่ย เร่ ฮุ่ย!!!


จิ๋วแต่แจ๋วอย่างเรา ก็สามารถก่อกองทรายเป็นรูปเป็นร่างได้นะ
ว่าแต่..มันจะไม่ถล่มลงมาทับพวกเราใช่มั้ย


อาบน้ำแร่ แช่กาแฟ แหม่..ตัวเปลี่ยนสีเลยนะแก

นี่เรากำลังเล่น MV เพลงจักรยานสีแดง ของพี่เสก โลโซ อยู่หรือเปล่านิ๊
"และฉันกับเธอจะไปด้วยกัน ขี่ไปพร้อมกัน จักรยานสีแดง"


เลโก้อย่างเราก็ดำน้ำเป็นนะ แต่พี่ช่างภาพคะ ความคิดสร้างสรรค์ของพี่ เกือบทำหนูโดนฉลามงาบแล้วนะคะ

หะ หะ หอยยยย ทากกกกก อ๊ากกกกก หอยทากกัดหัวนมช้านนนนน
(พี่ช่างภาพเล่นกับหอยทากตัวจริงเสียงจริงซะด้วยงานนี้)


การต่อสู้แบบเหนือชั้น โดนฟันจนขาดเป็นชิ้นส่วน

ในเมื่อสู้ด้วยอาวุธไม่ได้ ขอลอบทำร้ายอย่างมีศิลปะละกัน คิกๆๆ จะว่าไปก็ดูตั้ลล๊ากกกกดีนะเนี่ย


ทำไงดี ไอ้ยักษ์เขียวโดนแช่แข็งซะแล้ว

เอ่อะ..มิกกี้เม้าส์มาผิดเรื่องปะลูก นี่มันสตาร์วอส์นะ หรือมาเป็นดารารับเชิญจ๊ะ

นี่แน่ะ! กัดข้านักใช่มั้ย ข้าคันแล้วเนี่ย ตบแม่มซะเลย หึหึ!


เดี๊ยนกำลังเก็บอุนจิของลูกรัก ว่าจะไปผสมทำเป็นคุ้กกี้ดาร์กช็อกโกแลต ลองชิมดูมั้ย?

เจอท่าไม้ตายข้าหน่อยเป็นไง เฮือกกก! แบนซะเถิด วะฮะฮ่าาาา!
โอ๊ยยย..ข้าเจ็บตูดจัง ลงผิดท่าไปนิด = ='


เรียงลำดับตามความยาวของหนวด ปฏิบัติ!!


ย่างไส้กรอกหรือเชื่อมเหล็ก? ไฟอลังการมาก


วิศวะตัวจิ๋วอย่างเรา ฝีมือไม่เบานะเออ ว่าแต่..ตูจะลงยังไงวะเนี่ย จับตูมาไว้ซะสูงเลย - -'


ใครฉลาดกว่ากัน??


ปาร์ตี้สังสรรค์สไตล์เลโก้


เลโกตัวจิ๋วอย่างผมก็เป็นนักดำนำได้นะครับ


เมื่อหลานตัวแสบอยากพาคุณปู่ที่เป็นโรคหัวใจไปเดินเล่น
"ปู่ว่า..ปู่จะหัวใจวายตายเพราะหลานเนี่ยแหละ ช้าๆหน่อยสิ"


เงียบๆหน่อยสิ ช่างทาสีอย่างเราต้องใช้สมาธิและจิตวิญญาณ มันคืองานศิลปะ

และแล้วจุดจบของคุ้กกี้รันก็มาถึง กอบกู้ความสงบในไลน์อีกครั้ง

ยายจ๊ะ..สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานของเราจ้ะ

เราจะเป็นตัวต่อที่เติมเต็มไปด้วยความรัก หากเราขาดชิ้นส่วนใด ชิ้นส่วนหนึ่งไป
มันก็คงไม่สามารถประกอบขึ้นเป็นเราได้
ใครจะรู้ว่าตัวต่อเล็กจิ๋วอย่างเรา ก็มีหัวใจ มีความรักเหมือนมนุษย์เช่นกัน


ทิ้งทวนชวนคิด: ช่างภาพท่านนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวตัวต่อเล็กจิ๋วที่มีนามว่า "Lego" ตัวต่อของเล่นที่ฮิตในหมู่เด็กๆฝรั่ง (เด็กไทยก็เคยฮิตเล่นอยู่ช่วงหนึ่ง) หลายๆภาพนั้นบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ที่เก๋ไก๋ และทักษะการเป็นช่างภาพที่เก่งกาจของเขา เขาได้ปลุกความคิดหนึ่งของผู้เขียน ความคิดนั้นคือ..ของเล่นหรือเกมหลายๆประเภท หากเราเรียนรู้ที่จะเล่นกับมันอย่างรู้คุณค่าและสร้างสรรค์ ไม่เพียงเพื่อความสนุกอย่างเดียว แต่ใช้ความคิดไปพร้อมๆกับการเล่น เราก็คงจะได้ไอเดียดีๆจากสิ่งเหล่านี้ ที่ผู้ใหญ่ (บางคน) มองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลา ตัวต่อเลโก้คงอยากจะบอกกับมนุษย์อย่างพวกเราว่า "ถ้าคุณเล่นกับพวกเราอย่างทะนุถนอม ไม่ทิ้งๆขว้างๆ ไม่ปล่อยให้ชิ้นส่วนของพวกเราหล่นหายไป ตัวต่อเลโก้อย่างพวกเราก็พร้อมที่จะทำให้ผู้คนมีทักษะความคิด และนำพาไปพบกับจินตนาการที่งดงามอย่างช่างภาพท่านนี้ก็เป็นได้"


ติดตามชมรูปภาพสวยๆ ไอเดียเก๋ๆ และเรื่องราวของตัวต่อเลโก้ได้ที่ Samsofy Photographie

บทความโดย: ตะวัน ซันชายน์

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชักชวนเที่ยว "เทศกาลผลไม้และของดีเมืองระยอง" งานที่คนรัก(การกิน)ผลไม้ ไม่ควรพลาด!

เพลง แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม (ศิลปิน: ตะกร้า)
 
 
          แค่ชื่อเพลงก็ชวนอยากกินผลไม้ซะแล้ว แน่นอนว่าผลไม้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เป็นอาหารของนักไดเอททั้งหลาย (แต่ผลไม้บางชนิดทานแล้วก็อ้วนพลุ้ยได้เหมือนกันนะจ๊ะ อย่างเช่น ขนุน ทุเรียน มะม่วง หรือผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ) หากอยากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากผลไม้ แนะนำให้ทานพวกผลไม้รสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซีสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย เช่น ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะเฟือง มะขาม ฝรั่ง หรือตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ โกจิเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ กีวี่ ฯลฯ

         
 
 
           สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานผลไม้ แบบที่ว่าทานได้หลายชนิด ฉันเลือกไม่ถูก ฉันอยากทานทุกอย่างเลย บล็อกนี้จะมาแนะนำสถานที่ที่เรียกได้ว่าคอ "บุฟเฟ่ต์ผลไม้" ไม่ควรพลาดงานนี้ กับงานที่มีชื่อว่า "เทศกาลผลไม้และของดีเมืองระยอง" (Thailand Fruits Festival) ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 22-28 พฤษภาคม 2558 ณ ตลาดกลางผลไม้เพื่อการเกษตรตะพง จ.ระยอง ซึ่งจัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานระยอง เป็นเทศกาลประจำปีของระยอง จะจัดในช่วงฤดูผลไม้ ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ กิจกรรมการจัดขบวนแห่รถประดับด้วยผลไม้ การประกวดธิดาชาวสวน การประกวดจำหน่ายผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเล และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอีกด้วย สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลตะพง โทรศัพท์ 0 3866 4053 หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานระยอง โทรศัพท์ 0 3865 5420-1, 0 3866 4585

 




 
 


          หากผู้ใดสนใจจะมาท่องเที่ยวงานนี้ที่ระยอง แล้วยังหาที่พักไม่ได้นั้น เรามีที่พักมาแนะนำแก่ท่านค่ะ เป็นโรงแรมที่ติดทะเล มีชายหาดส่วนตัว มีสระว่ายน้ำ มีบริการนวดสปาร์ โรงแรมนี้ชื่อว่า "โรงแรมปาล์มมาลีบีช รีสอร์ท" โดยอยู่ในตำบลชากพง อำเภอแกลง ติดกับหาดแหลมแม่พิมพ์ อยู่ตรงข้ามเทศบาลสุนทรภู่ สำรองที่พักได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 038-638071-2 หรืออีเมลล์ palmeraiebeach@hotmail.com , FB: โรงแรมปาล์มมาลี บีช รีสอร์ท จ.ระยอง

ด้านหน้าของโรงแรม
 
ตัวตึกหันหน้าออกทางทะเล และมีสระว่ายน้ำอยู่ตรงกลางของโรงแรม

หนึ่งห้องจะพักได้ 2 ท่าน


ทิ้งทวนชวนเที่ยว: เทศกาลนี้ หนึ่งปีมีครั้งเดียว เนื่องจากผู้เขียนทำงานในโรงแรมที่ระยอง
ได้ท่องเที่ยวและได้ชิมผลไม้ของเมืองระยอง ต้องขอบอกว่าผลไม้ที่นี่สดจากสวนจริงๆ
ช่วงนี้ทุเรียนมาแรงมากบอกเลย (แรงทั้งกลิ่นและรสชาติ5555) พ่อค้าและแม่ค้าน่ารักเป็นกันเอง
เราจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ ให้นักท่องเที่ยวได้มาลองลิ้มชิมรสชาติผลไม้ของที่นี่กัน
แถมที่นี่ยังมีหาดสวยๆ ทะเลใสๆ และเกาะต่างๆมากมายให้ได้ท่องเที่ยวกัน
ฉะนั้นจึงไม่ควรพลาดเทศกาลและบรรยากาศดีๆแบบนี้ ของดี ของอร่อย ต้องบอกต่อ ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ
เอ้า! ช้าอยู่ไย รีบไปชักชวนญาติโก โหติกา ลุงป้าน้าอา เพื่อนสนิท มิตรสหาย เพื่อนข้างบ้าน
ชวนกันมาเที่ยวที่ระยองฮิเร้ววววว!